สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (20 มี.ค.) จากการที่นักลงทุนมีความวิตกเกี่ยวกับการผลิตน้ำมันที่เพิ่มมากขึ้นในสหรัฐ หลังจากบริษัทเบเกอร์ ฮิวจ์ ระบุว่าแท่นขุดเจาะน้ำมันที่มีการใช้งานในสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันยาวนานถึง 9 สัปดาห์
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย.ลดลง 56 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 48.22 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ค.ลดลง 14 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 51.62 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบได้รับแรงกดดันจากรายงานของบริษัทเบเกอร์ ฮิวจ์ ผู้ให้บริการขุดเจาะบ่อน้ำมันสหรัฐ ซึ่งระบุว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันที่มีการใช้งานในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนมี.ค. มีจำนวนเพิ่มขึ้น 14 แท่น สู่ระดับ 631 แท่น ซึ่งเป็นจำนวนมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2015 และเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 9 ติดต่อกัน
ทั้งนี้ การเพิ่มการผลิตน้ำมันในสหรัฐ ทำให้นักลงทุนวิตกว่าจะกระทบต่อการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และประเทศนอกกลุ่ม
ในการประชุมเมื่อวันที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา กลุ่มประเทศโอเปกได้บรรลุข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิต 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน สู่ระดับ 32.5 ล้านบาร์เรล/วัน และจากนั้นในกลางเดือนธ.ค. ผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปกได้ตกลงที่จะปรับลดกำลังการผลิตลง 558,000 บาร์เรล/วัน โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค.2017 และมีกำหนดเป็นเวลา 6 เดือน ซึ่งจะสิ้นสุดในกลางปีนี้
นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายในตลาดยังซบเซาลง หลังจากเจพี มอร์แกนได้ปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบ WTI สู่ระดับ 53.75 ดอลลาร์/บาร์เรล และ 53.50 ดอลลาร์/บาร์เรล ในปีนี้ และปีหน้า ตามลำดับ พร้อมกับปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ลงสู่ระดับ 55.75 ดอลลาร์/บาร์เรล และ 55.50 ดอลลาร์/บาร์เรล ในปีนี้ และปีหน้า ตามลำดับ