สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (15 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการผลิตน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐ หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) คาดการณ์ว่า การผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดานของสหรัฐจะเพิ่มขึ้นในเดือนส.ค. และเบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขุดเจาะบ่อน้ำมันสหรัฐ เปิดเผยว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันที่มีการใช้งานในสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 4 เซนต์ หรือ 0.1% ปิดที่ 47.55 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 7 เซนต์ หรือ 0.1% ปิดที่ 50.80 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันในสหรัฐที่มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) คาดการณ์ว่า การผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดานของสหรัฐจะปรับตัวสูงขึ้น 113,000 บาร์เรลต่อวัน แตะที่ 5.585 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในเดือนส.ค.
ทั้งนี้ EIA คาดว่า การผลิตน้ำมันในบริเวณเพอร์เมียน บาซิน ซึ่งเป็นแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ในรัฐเท็กซัส จะเป็นแหล่งที่มีการผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดานมากที่สุด โดยคาดว่าการผลิตในพื้นที่แห่งนี้จะเพิ่มขึ้น 64,000 บาร์เรลต่อวัน
นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากรายงานของเบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งระบุว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันที่มีการใช้งานในสหรัฐ มีจำนวนเพิ่มขึ้น 3 แท่น สู่ระดับ 768 แท่นในสัปดาห์ที่ผ่านมา
ทางด้านสำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดการณ์ว่า การผลิตน้ำมันจากผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปก นำโดยสหรัฐ จะเพิ่มขึ้น 0.7 ล้านบาร์เรล/วันในปีนี้ และเพิ่มขึ้น 1.4 ล้านบาร์เรล/วันในปีหน้า
นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐ ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐจะเปิดเผยในวันนี้ เวลา 21.30 น.ตามเวลาไทย ขณะที่นักวิเคราะห์ซึ่งได้รับการสำรวจความเห็นโดยเอสแอนด์พี โกลบอล แพลทส์ คาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบจะลดลง 3.6 ล้านบาร์เรล ในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 11 ส.ค.