สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 2% เมื่อคืนนี้ (5 มี.ค.) ขานรับรายงานคาดการณ์ของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ซึ่งระบุว่า ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกจะยังคงขยายตัวต่อเนื่องจนถึงปี 2566 นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับปัจจัยหนุนจากข่าวการปิดแหล่งน้ำมัน เอล ฟีล ในประเทศลิเบีย
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย. พุ่งขึ้น 1.32 ดอลลาร์ หรือ 2.2% ปิดที่ 62.57 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 1.17 ดอลลาร์ หรือ 1.8% ปิดที่ 65.54 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นหลังจาก IEA เปิดเผยรายงานแนวโน้มภาวะตลาดน้ำมันประจำปี 2561 เมื่อวานนี้ โดยคาดการณ์ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งทั่วโลกจะยังคงสนับสนุนการใช้น้ำมันอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2566 ซึ่งนอกจากการผลิตที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐแล้ว การผลิตน้ำมันจากแคนาดา บราซิล และนอร์เวย์ ก็จะช่วยรองรับความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นจนถึงปี 2563
IEA คาดการณ์ว่า ในช่วง 5 ปีข้างหน้า สหรัฐจะหลุดจากรายชื่อประเทศผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยจีนและอินเดียจะครองตำแหน่งดังกล่าว ขณะที่การนำเข้าน้ำมันในเอเชียจะเพิ่มขึ้น 3.5 ล้านบาร์เรล/วันจนถึงปี 2566 โดยตะวันออกกลางจะยังคงเป็นซัพพลายเออร์น้ำมันรายใหญ่ที่สุดของภูมิภาคเอเชีย แต่จากการที่จีนได้เพิ่มการกลั่นน้ำมัน ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้สหรัฐส่งออกน้ำมันดิบมากขึ้นเช่นกัน
สัญญาน้ำมันดิบยังคงได้รับแรงหนุนหลังจากบรรษัทน้ำมันแห่งชาติของลิเบียเปิดเผยว่า เกิดเหตุสุดวิสัยเกี่ยวกับการผลิตน้ำมันในแหล่งเอล ฟีล ซึ่งมีกำลังการผลิต 70,000 บาร์เรล/วัน หลังจากเกิดเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของสหรัฐ โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในวันพุธนี้ เวลา 22.30 น.ตามเวลาไทย