กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับนโยบายใหม่ในการจัดการกับผู้อพยพผิดกฎหมายในสหรัฐอย่างเข้มงวด ซึ่งรวมไปถึงการผลักดันผู้อพยพผิดกฎหมายออกนอกประเทศ การเพิ่มอำนาจให้กับหน่วยงานป้องกันชายแดนในการบังคับใช้กฎหมาย และการอุดช่องโหว่ต่างๆในด้านนโยบาย
ในเอกสารชื่อ "การดำเนินนโยบายด้านความมั่นคงชายแดนและการยกระดับการบังคับใช้กฎหมายตรวจคนเข้าเมืองของประธานาธิบดี" ระบุว่า นโยบายใหม่นี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสกัดการอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายและส่งเสริมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีอำนาจเต็มที่ในการตรวจค้น จับกุม และผลักดันผู้อพยพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเมืองหรืออาศัยอยู่ในสหรัฐ ออกนอกประเทศ
ทั้งนี้เอกสารฉบับดังกล่าวได้รับการลงนามโดยนายจอห์น เคลลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ควบคู่กับ "เอกสารบันทึกการบังคับใช้กฎหมายตรวจคนเข้าเมืองเพื่อปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติ"
นอกจากนี้ เอกสารว่าด้วยนโยบายใหม่นี้ยังระบุว่า รัฐบาลจะทำการว่าจ้างเจ้าหน้าที่ป้องกันชายแดนและศุลกากรเพิ่มมากขึ้น รวมถึงขยายขอบเขตอำนาจให้แก่รัฐมนตรีเคลลี ในการบัญชาการปฏิบัติการภาคสนาม ตลอดจนริเริ่มโครงการก่อสร้างกำแพงกั้นชายแดนระหว่างสหรัฐกับเม็กซิโก และเดินหน้าส่งคนต่างด้าวกลับไปยังประเทศภูมิลำเนาที่มีชายแดนประชิดกัน"
เอกสารบันทึกด้านความมั่นคงชายแดน ระบุด้วยว่า รัฐบาลเตรียมที่จะบัญญัติกฎเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติสำหรับเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงาน และจะล้มเลิกนโยบายเก่าที่ก่อให้เกิดข้อถกเถียงจากช่องโหว่ต่างๆและแทนที่ด้วยนโยบายใหม่ที่มีความรัดกุมกว่า
การประกาศนโยบายใหม่ของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิมีขึ้นภายหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งพิเศษในการห้ามพลเมืองจาก 7 ชาติมุสลิมและผู้อพยพจากทุกประเทศเดินทางเข้าสหรัฐเป็นการชั่วคราว ซึ่งต่อมาศาลในสหรัฐได้มีคำสั่งให้ยับยั้งมาตรการดังกล่าวของปธน.ทรัมป์
สื่อท้องถิ่นรายงานว่า เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางสหรัฐได้ออกปฏิบัติการบุกตรวจค้นในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ และได้ควบคุมตัวผู้อพยพผิดกฎหมายเป็นจำนวนหลายร้อยคนในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ สถานภาพของผู้อพยพผิดกฎหมายในสหรัฐได้กลายเป็นประเด็นถกเถียงอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในมลรัฐที่อยู่ริมชายฝั่งซึ่งมีนโยบายโน้มเอียงไปทางเสรีนิยม โดยมีหลายเมืองได้ประกาศจุดยืนที่จะมอบที่พักพิงให้แก่ผู้อพยพเหล่านี้