Spotlight: เหตุกราดยิงโรงเรียนในรัฐฟลอริดา จากความเศร้าโศกกลายเป็นโกรธแค้น หลังรัฐบาลเมินควบคุมอาวุธปืน

ข่าวการเมือง Monday February 19, 2018 14:28 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บรรยากาศในพิธีไว้อาลัยผู้เสียชีวิตทั้ง 17 คนซึ่งถูกสังหารโหดจากเหตุกราดยิงที่โรงเรียนมัธยมมาจอรี่ สโตนแมน ดั๊กลาสในรัฐฟลอริดาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ดำเนินไปด้วยความโศกเศร้า ท่ามกลางประชาชนนับพันคนที่เดินทางเข้าร่วมแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต

ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มเพื่อน เพื่อนร่วมชั้น เพื่อนร่วมทีม ครู และสมาชิกในครอบครัวของผู้อยู่อาศัยในละแวกใกล้เคียง จึงนับเป็นความยากลำบากที่ผู้ร่วมไว้อาลัยจะสามารถทำใจได้ และยังต้องต่อสู้กับความรู้สึกที่เจ็บปวด จากการที่นายนิโคลัส ครู๊ซ คนร้ายวัย 19 ปี ใช้ปืน AR-15 บุกเข้าไปก่อเหตุสะเทือนขวัญในครั้งนี้

แต่ความรู้สึกของผู้คนที่เดินทางมาร่วมไว้อาลัยในบริเวณสวนสาธารณะ ไพน์ เทรลส์ ได้เปลี่ยนจากความเศร้าโศกไปเป็นความโกรธแค้นอย่างรวดเร็ว โดยในระหว่างพิธีไว้อาลัยนั้น ผู้คนเริ่มตะโกนว่า "ไม่เอาปืนอีกแล้ว (No more guns!)" ขณะผู้ขึ้นที่กล่าวในพิธีไว้อาลัยได้กล่าวโจมตีกฎหมายอาวุธปืนว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรม

ผู้ที่ได้รับเชิญให้ขึ้นกล่าวคำไว้อาลัยคนหนึ่ง ประกาศก้องว่า "เราจะไม่เลือกนักการเมืองที่ให้การสนับสนุนสิทธิในการครอบครองปืน" ซึ่งได้รับเสียงปรบมือสนับสนุนจากผู้เข้าร่วมงานอย่างกึกก้อง ส่วนอีกรายหนึ่งกล่าวว่า พวกเขาจะเดินทางไปเมืองแทลลาแฮสซี ในรัฐฟลอริดา เพื่อเรียกร้องให้มีการควบคุมการใช้อาวุธอย่างเข้มงวดมากขึ้น

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ชาวเมืองพาร์คแลนด์ได้ออกมารวมตัวกันอีกครั้งใกล้กับโรงเรียนมัธยมที่เกิดเหตุ โดยประเด็นเรื่องกฎหมายควบคุมอาวุธปืนยังเป็นข้อเรียกร้องหลักของการชุมนุม

เดลานีย์ ทาร์ นักเรียนจากโรงเรียนมัธยมมาจอรี่ สโตนแมน ดั๊กลาส ได้เรียกร้องให้มีการเดินขบวนประท้วงเพื่อต่อต้านกฎหมายปืนที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ขณะที่ไทรา ฮีแมนส์ นักเรียนอีกคนหนึ่งที่สูญเสียเพื่อนสนิทในเหตุกราดยิง กล่าวว่า เธอไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดผู้ที่สภาวะจิตใจไม่มั่นคง สามารถซื้ออาวุธปืนได้โดยง่าย เนื่องจากนายครู๊ซ มือปืนผู้ก่อเหตุรายนี้ ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคออทิสติก แต่ยังคงได้รับอนุญาตให้ใช้ปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ฮีแมนส์ยังกล่าวด้วยว่า จำเป็นที่จะต้องมีการฝึกอบรมด้านจิตวิทยา เพื่อให้แน่ใจได้ว่าบุคคลที่ต้องการครอบครองอาวุธปืนมีสติสัมปชัญญะเพียงพอด้วย ขณะเดียวกันเธอยังวางแผนที่จะบอกเล่าให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับทราบถึงความโกรธเคืองเกี่ยวกับประเด็นกฎหมายปืนที่หละหลวม เมื่อผู้นำสหรัฐเดินทางมาถึงรัฐฟลอริดา แต่กลับไม่มีโอกาสได้ทำอย่างที่ตั้งใจเอาไว้

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เดินทางมาถึงรัฐฟลอริดา เมื่อช่วงกลางดึกของคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ผู้นำสหรัฐเดินทางต่อไปยังโรงพยาบาลซึ่งผู้บาดเจ็บรักษาตัวอยู่ในทันที และได้เข้าร่วมการประชุมกับผู้ที่ให้ความช่วยเหลือในท้องถิ่นพร้อมกล่าวยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษในเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย

ในวันถัดมา ปธน.ทรัมป์ได้เรียกพบเจ้าหน้าที่ของเมืองที่เกิดเหตุในครั้งนี้อีกครั้งหนึ่งเพื่อแสดงความเสียใจ แต่หัวข้อเรื่องการควบคุมอาวุธปืนกลับไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงแต่อย่างใด และในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ทางโทรทัศน์ ทรัมป์ก็หลีกเลี่ยงการพูดถึงการปฎิรูปกฎหมายปืนเช่นเดียวกัน

ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า "พวกคุณจะไม่เดียวดาย ยังมีคนที่คอยห่วงใย รัก และจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องจากภัยอันตราย หากต้องการความช่วยเหลือ ให้หันหน้าเข้าหาครูอาจารย์ สมาชิกครอบครัว ตำรวจท้องถิ่น หรือผู้นำที่ศรัทธา ขณะเดียวกันก็จงตอบแทนความเกลียดชังด้วยความรัก ตอบแทนความโหดร้ายด้วยความเมตตา"

แต่ถ้อยแถลงของปธน.ทรัมป์ที่ระบุเฉพาะเจาะจงไปยังบรรดาเยาวชนของประเทศนั้น ยังมีความคลุมเครือว่าจะดำเนินการอย่างไรเพื่อให้เด็กๆอเมริกามีความปลอดภัยที่แท้จริง

แอนนาเบล แคลปรูด์ นักเรียนวัย 17 ปีกล่าวว่า "พวกเขาพูดทุกครั้งว่าเหตุการณ์ลักษณะนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก แต่มันก็ยังคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าเรากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ถูกต้อง และไม่มีใครควรครอบครองปืนตอนอายุแค่ 18 ปี" พร้อมตั้งข้อสังเกตุว่าการกำหนดเกณฑ์อายุขั้นต่ำสำหรับผู้ที่สามารถซื้อปืนไว้ในครอบครองของสหรัฐอยู่ที่ 18 ปีนั้น ยังต่ำกว่าเกณฑ์ในการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผล


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ