นายเดวิด เตากุย หลี่ ผู้อำนวยการศูนย์จีนในเศรษฐกิจโลกของคณะเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจแห่งมหาวิทยาลัยซิงหัวกล่าวว่า “นับจากนี้ไปจนถึง 2 ปีข้างหน้า เศรษฐกิจจีนจะเข้าสู่ช่วงของการปรับตัวที่สำคัญอย่างแท้จริง ซึ่งรวมไปถึงการปฏิรูปและการรับมือกับผลพวงของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงวิกฤตการเงิน"
“และหลังผ่านช่วงนั้นไปแล้ว เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มที่จะกลับมาขยายตัวในอัตราที่ค่อนข้างรวดเร็วขึ้น" เขากล่าว
“สำหรับภาพรวมในช่วงอีก 10 ข้างหน้า เศรษฐกิจจะขยายตัวในอัตราที่ต่ำในช่วงแรก เช่น 7% จากปัจจุบันไปจนถึงปี 2559 และหลังจากนั้นจะขยายตัวในอัตราสูงขึ้นที่ประมาณ 8%" นายหลี่กล่าว
นอกจากนี้ เขายังกล่าวต่อว่า เศรษฐกิจจีนได้เผชิญกับช่วงเวลาของการปฏิรูปที่ส่งผลให้เศรษฐกิจหดตัว ซึ่งรวมไปถึงการปฏิรูปทางการเงินและด้านการต่อต้านการคอร์รัปชัน พร้อมกับระบุว่า การปฏิรูปดังกล่าวเป็นสิ่งที่จำเป็น
นายหลี่กล่าวว่า การปฏิรูปด้านการต่อต้านคอร์รัปชันมีความสำคัญต่อการเติบโตในระยะยาวและต่อการวางรากฐานรูปแบบใหม่ของการทำธุรกิจในจีน
สำหรับในระยะสั้น นายหลี่กล่าวว่า ในช่วงแรก เศรษฐกิจจีนจะมีแนวโน้มในช่วงขาลงในปีนี้ และจะกระเตื้องขึ้นภายในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งจะคล้ายคลึงกับ "รูปแบบการฟื้นตัวเล็กน้อย" ที่เกิดขึ้นในปีที่แล้ว
นายเจมส์ ดี. วูล์ฟเฟนซอห์น อดีตประธานธนาคารโลกกล่าวว่า ชาวจีนจะได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งประธานของสถาบันระหว่างประเทศที่สำคัญๆ เช่น ธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ในอนาคต อันเนื่องมาจากความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจจีน
ด้านนายเฉิน จือหนิง อธิการบดีมหาวิทยาลัยซิงหัวกล่าวว่า การปฏิรูปที่จริงจังและครอบคลุมอย่างมาก ซึ่งจีนได้ประกาศไปเมื่อเร็วๆนี้ จะส่งผลอย่างมีนัยสำคัญในทุกด้านของชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวจีน
“โลกกำลังจับตาการปฏิรูปดังกล่าวด้วยความสนใจอย่างยิ่ง" เขากล่าว “การปฏิรูปได้ให้ความสำคัญกับประเด็นเศรษฐกิจ เนื่องจากจีนได้กลายเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในทศวรรษที่ผ่านมา" สำนักข่าวซินหัวรายงาน