In Focus“Byungjin Line" มิติใหม่แห่งความท้าทายของเด็กชายชื่อ “โสมแดง"

ข่าวต่างประเทศ Wednesday May 11, 2016 13:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

หากโลกใบนี้เปรียบเสมือนห้องเรียนเล็ก ๆ ห้องหนึ่ง “เกาหลีเหนือ" คงมีสถานภาพไม่ต่างอะไรจาก “เด็กเกเรหลังห้องเรียน" ที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ระดับรุนแรง อันสามารถอธิบายได้จากอาการที่แสดงออกผ่านกิจกรรมแผลง ๆ ที่ขยันส่งออกมาให้เพื่อนร่วมชั้นได้ผวากันอยู่เนือง ๆ อาทิ วันดีคืนดีก็ลุกขึ้นมาส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรบ้าง, ยิงจรวดจากเรือดำน้ำในบางครั้ง, ลุกขึ้นมาทดสอบนิวเคลียร์ในบางวัน, ยิงขีปนาวุธพิสัยใกล้ กลาง ไกล ในบางที… เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่แพทย์บ่งชี้ว่าเป็นเด็กขาดเหตุผลในการคิดและมีอาการหลงผิด

อาการน่าเป็นห่วง

ทั้งนี้การช่วยเหลือหรือแก้ไขปัญหาความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ก็คือ ยิ่งเร็วยิ่งดี จะได้รักษากันอย่างทันท่วงที ไม่บานปลาย เริ่มจากไม้อ่อนด้วยการตั้งกฎเกณฑ์ในห้องเรียนอย่างชัดเจนเพื่อให้ปฏิบัติตาม อันจะเป็นการลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ ข้อนี้ต้องยกให้หัวหน้าชั้นอย่าง UNSC หรือคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ทำการรวบรวมรายชื่อเพื่อนร่วมโลก อย่างสหรัฐ ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย, อังกฤษ, แคนาดา, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, อิตาลี, ฯลฯ ออกแถลงการณ์ประณาม โดยยังคงเน้นย้ำความสำคัญเรื่องการรักษาความสงบและเสถียรภาพบนคาบสมุทรเกาหลี พร้อมทั้งแสดงความมุ่งมั่นที่จะใช้วิธีการที่สันติ วิธีการทางการทูตและการเมือง ในการแก้ไขสถานการณ์

ทว่าการเยียวยาที่ผู้รับการบำบัดไม่ให้ความร่วมมือนั้นดูจะไม่เป็นผล เด็กดื้ออย่างโสมแดงยังคงลอยหน้าลอยตาทำหูทวนลมไม่ยี่หระต่อท่าทีของเพื่อนคนไหนทั้งสิ้น แทนที่จะนำเงินไปพัฒนาประเทศในด้านอื่น ๆ ให้ประชากรที่ยากจนอยู่ดีกินดีขึ้น กลับเผางบประมาณไปกับกิจกรรมทางการทหารเพื่อแสดงแสนยานุภาพจอมปลอม และเรียกร้องความสนใจ จนโดนไม้แข็งจากหลายประเทศที่ประกาศไม่เกี่ยวดองด้วยก็แล้ว หรือแม้กระทั่งล่าสุดเมื่อวันที่ 5 เม.ย. 2559 ประเทศจีนซึ่งมีทีท่าว่าเป็นพันธมิตรที่คุยกันถูกคอยังออกมาประกาศห้ามการนำเข้าทองคำ, ถ่านหิน และแร่ธาตุหายากจากเกาหลีเหนือ เพื่อกดดันให้เด็กดื้อขาดแหล่งรายได้ในการใช้จ่ายทางทหาร รวมถึงยกเลิกการส่งออกเชื้อเพลิงอากาศยาน และผลิตภัณฑ์น้ำมันที่ใช้ในการทำเชื้อเพลิงจรวดให้ ก็ดูจะไม่สะทกสะท้าน ซ้ำยังออกมาต่อปากต่อคำว่า "หากพวกเขาเชื่อว่าสามารถทำอะไรเราได้ด้วยการคว่ำบาตร พวกเขาก็คิดผิดอย่างสิ้นเชิง"

เบื้องหลังความกร่าง

อาการหลงผิดจนเกินเยียวยาเช่นนี้อาจมีผลมาจากการที่เกาหลีเหนือได้ครอบครองขีปนาวุธซึ่งได้มาจากอดีตสหภาพโซเวียตเมื่อปี 2512 และต่อมาก็ได้รับมอบจรวดสกั๊ด-บี จากอียิปต์เป็นการตอบแทนที่ช่วยเหลือในการรับมือกับอิสราเอลก็เป็นได้ จุดเริ่มต้นนี้เองที่ทำให้รัฐบาลเปียงยางเดินหน้าคิดค้นพัฒนาเขี้ยวเล็บ จนทดลองอาวุธนิวเคลียร์เป็นครั้งแรกในเดือนตุลาคมปี 2549 ได้สำเร็จ ส่งผลให้เกาหลีเหนือขึ้นทำเนียบประเทศผู้ครอบครองนิวเคลียร์ลำดับที่ 9 ของโลกต่อจากจากสหรัฐ รัสเซีย จีน อังกฤษ ฝรั่งเศส อินเดีย ปากีสถาน และอิสราเอล ในทันที หลังจากนั้นไม่ถึง 3 ปี ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2552 การทดลองนิวเคลียร์ใต้ดินครั้งที่ 2 ของเกาหลีเหนือก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง โดยมีอานุภาพรุนแรงกว่าครั้งแรกถึง 5 เท่า หรือเทียบได้กับแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวขนาด 4.4 - 4.7 ริกเตอร์เลยทีเดียว เมื่อคิดจะเอาดีทางนี้ก็ต้องเดินหน้าแบบทุ่มสุดตัว ท่านผู้นำของโสมแดงทั้งในอดีตและปัจจุบันจึงทุ่มงบประมาณแบบไม่บันยะบันยังไปกับการเล่นสนุก โดยในวันที่ 31 มี.ค. 2559 สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า เกาหลีเหนืออนุมัติแผนการจัดสรรงบประมาณประจำปี 2559 โดยกระทรวงกลาโหมได้สัดส่วนงบประมาณไปถึง 15.8% ซึ่งถือเป็นงบประมาณที่ใกล้เคียงกับเมื่อปีที่ผ่านมา โดยการจัดสรรงบประมาณมีขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่เกาหลีเหนือทดลองนิวเคลียร์และเทคโนโลยีขีปนาวุธอย่างไม่หยุดยั้ง

สำนักข่าวโรดงซินมุนของพรรคแรงงานเกาหลีเหนือรายงานว่า งบประมาณด้านกลาโหมในสัดส่วนสูงเช่นนี้จะทำให้เกาหลีเหนือสามารถพัฒนาวิธีการโจมตีได้หลากหลายยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงการโจมตีด้วยนิวเคลียร์เพื่อเป็นการตอบโต้สถานการณ์ที่เป็นปฏิปักษ์จากศัตรู ทั้งนี้สื่อหลายสำนัก รวมถึงสื่อของทางการเกาหลีเหนือคาดการณ์ว่า งบประมาณรายจ่ายของเกาหลีเหนือในปี 2559 จะเพิ่มขึ้น 5.6% จากปีที่แล้ว ขณะเดียวกันก็คาดว่ารายได้ของรัฐบาลจะเพิ่มขึ้น 4.1% จากปีที่แล้ว หลังจากที่เกาหลีเหนือได้ตัดสินใจใช้งบประมาณ 4.8% ไปในด้านอุตสาหกรรม และเพิ่มงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขึ้นอีก 5.2% รวมทั้งเพิ่มงบประมาณด้านการศึกษาอีก 8.1% ตัวเลขดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า โสมแดงทุ่มเงินให้กับเรื่องที่สร้างความปวดหัวให้เพื่อน ๆ มากกว่าที่จะนำไปใช้ในประเด็นที่เป็นประโยชน์ตั้ง 1- 3 เท่าตัว

เดือดร้อนกันทั่วหน้า

ลำพังเพียงพฤติกรรมทำร้ายตัวเองแล้วไม่เดือดร้อนใครก็ว่าไปอย่าง แต่สำหรับโสมแดงนั้นไม่ใช่ เริ่มจากไม้เบื่อไม้เมาอย่างเกาหลีใต้ที่แม้จะพัฒนาประเทศจนรุดหน้าไปไกลยังหนีไม่พ้นความรำคาญจากเหลือบไรที่คอยจิกกัดอยู่แถวรอยต่อพรมแดนจนต้องเจียดเวลาและงบประมาณไปต่อกรด้วย ซึ่งนั่นเป็นผลกระทบในทางตรงที่เห็นได้ชัดเจน แต่ยังไม่หมดเท่านั้น เพราะเมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2558 นักลงทุนในตลาดหุ้นเกาหลีใต้ได้ถอนเม็ดเงินมูลค่า 195.4 ล้านดอลลาร์ออกจากกองทุน ETF รายใหญ่สุดของประเทศ ในช่วงเวลา 5 วันทำการซึ่งสิ้นสุดวันที่ 21 ส.ค. 2558 อันถือเป็นวงเงินสูงสุดนับตั้งแต่มีการก่อตั้งกองทุนดังกล่าวเมื่อปี 2543 เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี และตลาดหุ้นเกิดใหม่ที่ถูกกระหน่ำขายอย่างหนัก

ทั้งนี้ กองทุน ETF ของเกาหลีใต้มีบริษัทขนาดใหญ่ถือหุ้นอยู่หลายแห่ง รวมถึงซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ และฮุนได มอเตอร์ แต่นักลงทุนไม่มีความเชื่อมั่นว่าเกาหลีใต้จะสามารถลดความตึงเครียดกับโสมแดงได้

แผนใหม่ของเด็กหลังห้อง

เมื่อทำตัวน่ารังเกียจจนแทบจะไม่เหลือใครให้คบหาสมาคมด้วย เด็กชายโสมแดงจึงเริ่มงัดแผนพบกันครึ่งทางออกมาใช้หลอกล่อเพื่อน ๆ โดยเมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2559 รี ซู ยอง รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีเหนือเผยว่าพร้อมยุติการทดสอบนิวเคลียร์ หากสหรัฐระงับการซ้อมรบร่วมกับเกาหลีใต้ ในวันต่อมาคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือคนปัจจุบันกล่าวว่า เกาหลีเหนือก้าวขึ้นเป็นชาติมหาอำนาจด้านนิวเคลียร์และจะพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้สอดคล้องกับสถานะดังกล่าว ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2559 นายคิมได้ออกมาเปิดเผยว่า เกาหลีเหนือในฐานะรัฐอาวุธนิวเคลียร์ที่มีความรับผิดชอบ จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้การขจัดอาวุธนิวเคลียร์เกิดขึ้นทั่วโลก และจะทำตามข้อกำหนดการหยุดแพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ด้วยความซื่อสัตย์ โดยจะไม่เริ่มใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อนเป็นฝ่ายแรก เว้นแต่อำนาจอธิปไตยถูกล่วงละเมิดโดยกองกำลังปรปักษ์ที่มีอาวุธนิวเคลียร์ นอกจากนี้พรรคแรงงานเกาหลีเหนือและเกาหลีเหนือจะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศที่เคารพอำนาจอธิปไตยและเป็นมิตรกับเกาหลีเหนือ แม้ว่าประเทศเหล่านี้จะเคยเป็นปรปักษ์ในอดีต และยังเปิดเผยด้วยว่า พรรคแรงงานเกาหลีเหนือทุ่มเทอย่างหนักเพื่อเดินหน้ายุทธศาสตร์การเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการพัฒนานิวเคลียร์ หรือ "Byungjin Line" ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นเมื่อประเมินจากสถานการณ์ปัจจุบัน

ทั้งนี้ สื่อของเกาหลีเหนือเปิดเผยว่า คำว่า "Byungjin" ในภาษาเกาหลีนั้นมีความหมายว่า “การขับเคลื่อนของสองสิ่งไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน" สำหรับกลยุทธ์ "Byungjin Line" นี้ไม่ใช่คำใหม่ในบริบทของผู้นำโสมแดงแต่อย่างใด เพราะย้อนไปเมื่อปี 2505 คิม อิล ซุง ผู้นำประเทศคนแรก และมีศักดิ์เป็นปู่แท้ๆ ของนาย คิม จอง อึน ก็ได้ยึดหลักดังกล่าวในการปกครองประเทศเช่นเดียวกัน ทว่าไม่สามารถสร้างสมดุลด้านงบประมาณและให้ความสำคัญไปกับเศรษฐกิจและการทหารอย่างเท่าเทียมกัน เนื่องจากมีการนำเงินในส่วนของการพัฒนาเศรษฐกิจไปใช้ในเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างจีนกับโซเวียต และวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา จนทำให้แผนพัฒนาเศรษฐกิจที่วางไว้ 7 ปี ล่าช้าออกไปเป็น 9 ปี (2504 - 2513) และสุดท้ายก็ไม่บรรลุผล กลยุทธ์ "Byungjin Line" จึงเป็นเพียง “คำพูดที่สวยหรู" หาได้เพียงแค่ราคาคุยเท่านั้น

คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า แผน "Byungjin Line" ของหลานปู่คนนี้จะหล่นไกลต้นได้สักแค่ไหน เพื่อนๆ ในห้องก็ได้แต่หวังลึก ๆ ในใจว่า คำคำนี้คงไม่ใช่แค่ศัพท์ใหม่ของเด็กคุยโวในวันรับตำแหน่งประธานพรรค กุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด นับตั้งแต่สืบทอดอำนาจมาตั้งแต่ปี 2554 เท่านั้น...


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ