In Focus"เทเรซา เมย์" กับบททดสอบสุดหิน เขย่าเก้าอี้นางสิงห์แห่งบ้านเลขที่ 10 ถนนดาวนิ่ง

ข่าวต่างประเทศ Wednesday June 21, 2017 14:57 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ในวันที่ก้าวเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอังกฤษ เมื่อเดือนก.ค. ปี 2559 ภารกิจสำคัญใหญ่หลวงเหนืออื่นใดที่นางเทเรซา เมย์ รับไม้ต่อมาจากนายเดวิด คาเมรอน ก็คือการนำสหราชอาณาจักรเข้าสู่กระบวนการเจรจาถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป ตามเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ดังสะท้อนจากผลการลงประชามติ Brexit ครั้งประวัติศาสตร์

แต่ในระยะเวลาเพียงไม่ถึง 1 ปี นับตั้งแต่ขึ้นดำรงตำแหน่ง ใครเลยจะคาดคิดว่า นอกจากการเจรจา Brexit ที่หลายฝ่ายต่างกังวลและมองว่าเป็นภารกิจมหาโหดสำหรับนายกฯ ผู้มารับเผือกร้อนนี้แล้ว เทเรซา เมย์ ยังต้องเผชิญกับบทพิสูจน์ความสามารถและความไว้วางใจจากชาวเมืองผู้ดี บทแล้วบทเล่า ถึงขั้นสั่นคลอนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ของสหราชอาณาจักรกันเลยทีเดียว

ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ - ฝันร้ายที่ไม่ควรเกิด

ด้วยกระแสตอบรับที่ดีจากประชาชน เห็นได้จากคะแนนนิยมในโพลล์สำรวจความคิดเห็นช่วงแรกๆ จึงนำไปสู่การตัดสินใจประกาศยุบสภา จัดการเลือกตั้งทั่วไปก่อนกำหนดเกือบ 3 ปี เพื่อเป็นการขออาณัติใหม่จากประชาชนในการเจรจาต่อรองกับสหภาพยุโรปเกี่ยวกับเงื่อนไขของการถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกอียู ซึ่ง ณ ตอนที่ลุกขึ้นประกาศยุบสภานั้น นางเมย์มีความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมว่า เธอจะสามารถนำพรรคอนุรักษ์นิยมกวาดคะแนนเสียงตอกย้ำอำนาจในมือเพื่อเดินหน้าการเจรจา Brexit ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนเมย์จะเดินเกมพลาด เพราะแทนที่จะได้ที่นั่งในสภาเพิ่ม กลับกลายเป็นว่าพรรคอนุรักษ์นิยมของเธอเสียโควต้าไปให้กับพรรคแรงงาน คู่แข่งตลอดกาล ทำให้ไม่มีพรรคการเมืองใดครองเสียงข้างมากในสภา (Hung Parliament) และเป็นเหตุให้เมย์ต้องวิ่งวุ่นหาแนวร่วมเพื่อฟอร์มทีมจัดตั้งรัฐบาลผสม

การประกาศเลือกตั้งก่อนกำหนดครั้งนี้ จึงอาจเรียกได้ว่านางเมย์ขุดหลุมฝังตัวเองโดยแท้ เพราะแม้พรรคทอรี่ (อีกชื่อหนึ่งของพรรคอนุรักษ์นิยม) จะกวาดที่นั่งได้สูงสุด แต่ก็เป็นจำนวนที่ลดลงถึง 13 ที่นั่งจากการเลือกตั้งรอบที่แล้ว โดยก่อนการเลือกตั้ง พรรคคอนเซอร์เวทีฟของนางเมย์มีจำนวนที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรมากที่สุด คือ 330 ที่นั่ง จากอานิสงส์ผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2558 ซึ่งทางพรรคภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน ในขณะนั้น สามารถคว้าชัยชนะ แถมครองที่นั่งในสภาได้เกินครึ่งแบบเหนือความคาดหมาย แต่นางเมย์ไม่โชคดีเช่นนั้นในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา เพราะปรากฏว่า คะแนนเสียงของพลพรรคทอรี่ลดลงเหลือ 317 ที่นั่ง ซึ่งไม่เพียงพอต่อการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากที่ 326 ที่นั่ง ทำให้นางเมย์ต้องรีบดอดเจรจากับพรรคเล็กอย่าง DUP (Democratic Unionist Party หรือ สหภาพประชาธิปไตย) ซึ่งได้ไป 10 ที่นั่ง จึงทำให้ได้เสียงรวมเกินกึ่งหนึ่งในสภาไปอย่างเฉียดฉิว

ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ นอกจากจะเป็นสัญญาณเตือนถึงความเชื่อมั่นที่ถดถอยลงในตัวเทเรซา เมย์ และพรรคอนุรักษ์นิยมแล้ว การที่ไม่สามารถรักษาเสียงข้างมากในสภาได้ ก็อาจทำให้การผลักดันนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลเป็นไปอย่างยากลำบาก และที่สำคัญที่สุดก็คือ อาจส่งผลกระทบต่ออนาคตของสหราชอาณาจักรในการเจรจา Brexit ซึ่งคงไม่ราบรื่นนัก

ล่าสุด S&P Global ซึ่งเป็นสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลก เผยว่า S&P จะไม่รอให้อังกฤษและสหภาพยุโรปเสร็จสิ้นการเจรจา Brexit ก่อนที่จะปรับอันดับความน่าเชื่อถือของอังกฤษครั้งใหม่ แต่จะทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของอังกฤษทุกๆ 6 เดือน และจะบ่อยยิ่งขึ้น หากมีความจำเป็น โดยจะพิจารณาสิ่งบ่งชี้เกี่ยวกับเศรษฐกิจ สถานะทางการคลัง และด้านรัฐธรรมนูญ รวมทั้งสกุลเงินปอนด์ เพื่อดูว่าปอนด์ยังคงรักษาสถานะการเป็นสกุลเงินสำรองได้หรือไม่

นอกจากนี้ S&P ยังได้เตือนถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของอังกฤษในการทบทวนอันดับครั้งต่อไป เนื่องจากปัจจุบันอังกฤษมีแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในเชิงลบ

ทั้งนี้ S&P ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของอังกฤษจากระดับ AAA หลังจากที่มีการทำประชามติแยกตัวออกจากอียูในเดือนมิ.ย.ปีที่แล้ว โดยได้ปรับลดลง 2 ขั้น สู่ระดับ AA พร้อมกับให้แนวโน้มเชิงลบ

ก่อการร้าย 4 ครั้งในรอบ 3 เดือน - จากเวสต์มินสเตอร์ ถึงมัสยิดฟินสบิวรีปาร์ก

ผู้นำโลกที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญติดๆกันที่สุดในขณะนี้ หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของนายกรัฐมนตรี เทเรซา เมย์ รวมอยู่ด้วยอย่างแน่นอน

ไล่ตั้งแต่เหตุโจมตีเวสต์มินสเตอร์ เมื่อวันที่ 22 มี.ค. เมื่อคนร้ายก่อเหตุขับรถยนต์พุ่งชนผู้คนที่เดินอยู่บนสะพานเวสต์มินสเตอร์ กลางกรุงลอนดอน ก่อนจะขับรถพุ่งชนรั้วของอาคารรัฐสภาอังกฤษ จากนั้นใช้อาวุธมีดสังหารตำรวจนายหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตอีก 5 คน และบาดเจ็บอีก 49 คน ส่วนคนร้าย ซึ่งทางการอังกฤษเชื่อว่าก่อเหตุโดยมีแรงจูงใจจากแนวคิดอิสลามสุดโต่งนั้น ถูกตำรวจวิสามัญฆาตกรรม

วันเดียวกันในอีก 2 เดือนต่อมา ได้เกิดเหตุระเบิดฆ่าตัวตาย ณ แมนเชสเตอร์ อารีนา ในเมืองแมนเชสเตอร์ ขณะที่ผู้ชมกำลังทยอยออกจากฮอลล์หลังจบคอนเสิร์ตของนักร้องสาวชื่อดัง อาเรียนา แกรนเด เหตุการณ์นี้คร่า 22 ชีวิต โดยหลายรายเป็นเด็กและวัยรุ่น ที่อายุน้อยที่สุดคือเด็กหญิงวัย 8 ขวบ ขณะที่มีผู้บาดเจ็บถึง 119 ราย ซึ่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษประณามเหตุโจมตีครั้งนี้ว่า เป็นการกระทำที่ "ขี้ขลาดที่น่าขยะแขยง" และพุ่งเป้าโจมตี "คนอายุน้อยที่ไม่มีทางป้องกันตัว"

เหตุระเบิดครั้งนื้ยังถือเป็นเหตุก่อการร้ายที่รุนแรงที่สุดบนแผ่นดินอังกฤษ นับตั้งแต่เหตุวินาศกรรม 7/7 เมื่อคนร้ายวางระเบิดรถไฟใต้ดินและรถประจำทางสองชั้น กลางกรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2548 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 56 ราย

ยังไม่ทันที่ชาวอังกฤษจะหายหวาดผวา และยังไม่ทันที่ความโศกเศร้าจะลางเลือน เหตุรุนแรงครั้งใหม่ก็ได้เกิดขึ้นอีกในคืนวันเสาร์ที่ 3 มิ.ย. โดยคนร้าย 3 คนได้ขับรถพุ่งเข้าชนคนเดินเท้าบนสะพานลอนดอนบริดจ์ จากนั้นคนร้ายได้วิ่งลงจากรถมาใช้มีดไล่แทงคนเดินถนนและเจ้าหน้าที่ตำรวจตามผับและร้านอาหารในย่านโบโรห์มาร์เก็ต ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 7 คน บาดเจ็บอีก 48 คน ขณะที่ผู้ก่อการร้ายทั้ง 3 รายถูกตำรวจยิงเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ นอกจากนี้ ตำรวจยังสามารถควบคุมตัว 12 ผู้ต้องสงสัยเอาไว้ได้ในเวลาต่อมา ขณะที่กลุ่มก่อการร้ายไอเอสได้ออกมาประกาศว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตีครั้งล่าสุดนี้

และไม่ถึงเดือนดี กับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ เมื่อวันจันทร์ที่ 19 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยคนร้ายได้ขับรถตู้พุ่งชนผู้คนหน้ามัสยิดที่ฟินสบิวรีปาร์ก ทางตอนเหนือของกรุงลอนดอน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บอีก 10 ราย โดยตำรวจสามารถควบคุมตัวชายผู้ก่อเหตุที่บริเวณใกล้มัสยิดดังกล่าว ด้วยความร่วมมือของผู้อยู่อาศัยในชุมชนที่ช่วยกันจับตัวชายผู้นี้ ซึ่งพยายามหลบหนีหลังก่อเหตุ

เหตุการณ์ก่อการร้ายที่เกิดขึ้นถึง 4 ครั้งในระยะเวลาเพียง 3 เดือน ซึ่งล้วนเป็นเหตุสะเทือนขวัญ ที่มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ถือเป็นมรสุมที่ถาโถมเข้าใส่นายกฯหญิง วัย 59 ปีผู้นี้ ระลอกแล้วระลอกเล่า ยิ่งเมื่อประกอบกับข้อเท็จจริงที่ว่าก่อนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น เมย์เคยดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยถึง 6 ปี นับเป็นเจ้ากระทรวงที่มีหน้าที่รับมือการก่อการร้ายโดยตรง แถมเหตุการณ์เหล่านี้ยังเกิดขึ้นภายใต้มาตรการรัดเข็มขัด สืบเนื่องจากที่พรรคคอนเซอร์เวทีฟตัดลดงบประมาณตำรวจลง ทั้งหมดทั้งมวลจึงล้วนบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อเธออย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

เพลิงไหม้เกรนเฟลล์ ทาวเวอร์ จุดไฟโกรธให้โหมกระพือและลุกโชน

หากเหตุก่อการร้ายหลายต่อหลายครั้งได้ทำให้ความเชื่อมั่นในตัวนายกฯเมย์ถดถอยลงไปทุกทีๆแล้วหละก็ เหตุเพลิงไหม้อาคารเกรนเฟลล์ ทาวเวอร์ เมื่อวันพุธที่ 14 มิ.ย. จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 79 ราย ก็กลายเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีที่ทำให้ไฟแค้นเคืองโกรธลุกลามยิ่งขึ้นไปอีก

โดยบรรดาผู้ที่รอดชีวิตจากเหตุเพลิงไหม้อพาร์ทเมนต์สูง 24 ชั้นในเขตคิงสตันของกรุงลอนดอน รวมถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้ออกมาเดินขบวนประท้วง แสดงความไม่พอใจต่อนโยบายด้านความปลอดภัยของกรมการปกครองท้องถิ่น และความล้มเหลวของรัฐบาลที่ไม่เพิ่มงบประมาณเพื่อดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับประชาชน

แม้นางเมย์ได้เดินทางพบปะผู้อยู่อาศัยในอาคาร เกรนเฟลล์ ทาวเวอร์ หลายครั้ง แต่ประชาชนก็ยังไม่พอใจ หาว่าเธอเข้าเยี่ยมชุมชนช้าไป โดยเธอถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในขณะเดินทางไปยังจุดเกิดเหตุครั้งแรก เนื่องจากเธอไม่ได้พูดคุยกับผู้รอดชีวิต แต่กลับใช้โอกาสพบปะพูดคุยกับทีมเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยที่ได้ไปปฏิบัติหน้าที่ในวันดังกล่าว และแม้ในเวลาต่อมา นางเมย์ได้เดินทางไปเยี่ยมผู้รอดชีวิตเป็นการส่วนตัวที่โรงพยาบาล แต่ก็ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้คนที่กล่าวว่า การเยี่ยมผู้รอดชีวิตของเธอไม่ได้ปรากฏสู่สายตาประชาชน เรียกว่าตอนนี้ขยับตัวทำอะไรก็ผิดไปหมด!

ทั้งนี้ นางเมย์ถูกโจมตีอยู่แล้วก่อนหน้านี้ว่าไม่ได้แสดงอารมณ์ร่วมกับความโศกเศร้าของประชาชนเท่าที่ควร ด้วยท่าทีเหินห่างและเข้าถึงยาก ดูเย็นชาและแข็งทื่อคล้ายหุ่นยนต์ จนถูกตั้งฉายาล้อเลียนว่า “Maybot" ขณะที่สื่อสายอนุรักษ์นิยมที่โดยปกติแล้วจะสะท้อนแนวคิดในทิศทางเดียวกับพรรคคอนเซอร์เวทีฟ ก็ยังกลับลำมาวิจารณ์นางเมย์ว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการเข้าถึงประชาชน

ศาสตราจารย์ โทนี ทราเวอร์ส จาก London School of Economics and Political Science (LSE) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวว่า เหตุเพลิงไหม้ครั้งรุนแรงและการตอบสนองต่อเหตุการณ์ดังกล่าวจากภาครัฐ คือปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเมืองในประเทศ

"ผู้คนต่างโกรธเคืองรัฐบาลเกี่ยวกับการบริหารงบประมาณด้านการดูแลและบริการประชาชนตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา" ศ.ทราเวอร์สกล่าว

นอกจากนี้ ศ.ทราเวอร์ส ยังได้ย้ำอีกด้วยว่า เหตุเพลิงไหม้ในครั้งนี้ได้สร้างผลกระทบอย่างหนักต่อรัฐบาลของนางเมย์ หลังจากที่พรรคอนุรักษ์นิยมของเธอได้สูญเสียเสียงข้างมากในสภาชนิดพลิกความคาดหมายในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด

"การจัดตั้งรัฐบาลก็เป็นเรื่องที่เสี่ยงสำหรับนางเมย์มากอยู่แล้วในขณะนี้ และเหตุเพลิงไหม้ในครั้งนี้จะยิ่งซ้ำเติมให้ความพยายามของเธอให้ลำบากขึ้นไปอีก" ศ.เทรเวอร์สกล่าว

ลอนดอน ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในมหานครที่เป็นศูนย์กลางของโลกในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเงิน การท่องเที่ยว การศึกษา แฟชั่น ศิลปะ วัฒนธรรม ฯลฯ แต่กระบวนการ Brexit ที่เพิ่งจะเริ่มต้นและยังไม่รู้ว่าจะออกมาหมู่หรือจ่า ตลอดจนการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นซ้ำๆและถี่ขึ้น ประกอบกับเหตุเพลิงไหม้ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้นี้ อาจทำให้ลอนดอนสูญเสียสถานะและกลายเป็นเมืองที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ขณะที่มองดูแล้ว หนทางข้างหน้าของ เทเรซา เมย์ ไม่สดใสเท่าไรนัก ออกแนวขมุกขมัว ครึ้มฟ้าครึ้มฝน เหมือนท้องฟ้าสีเทาๆในกรุงลอนดอนนั่นแล


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ