In Focusสหรัฐกับภาษีนำเข้าเหล็ก...ได้ไม่คุ้มเสีย

ข่าวต่างประเทศ Wednesday March 7, 2018 11:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทั่วโลกเข้าสู่บรรยากาศแห่งความตึงเครียดอีกครั้งหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่า สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กในอัตรา 25% และอลูมิเนียม 10% ในสัปดาห์นี้ โดยปธน.ทรัมป์มองว่า การนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของสหรัฐ ดังนั้น การเรียกเก็บภาษีในอัตราดังกล่าวถือเป็นการปกป้องและช่วยเหลืออุตสาหกรรมของสหรัฐให้กลับมาเติบโตอีกครั้ง พร้อมกันนี้ ผู้นำสหรัฐยังทวีตข้อความว่า การทำสงครามการค้าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับสหรัฐ และเป็นเรื่องง่ายที่จะได้มาซึ่งชัยชนะ

ใครได้ใครเสีย?

แน่นอนว่า กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากมาตรการใหม่ของผู้นำสหรัฐก็คืออุตสาหกรรมเหล็กและอลูมิเนียมในประเทศ เพราะได้เปรียบในเรื่องการแข่งขันกับคู่แข่งจากต่างประเทศ ขณะเดียวกัน มาตรการดังกล่าวอาจทำให้บริษัทต่างชาติหันมาตั้งฐานการผลิตในสหรัฐมากขึ้น เนื่องจากต้นทุนการส่งออกสินค้ามายังสหรัฐอาจสูงเกินไป เช่นในอดีตที่สหรัฐเคยใช้มาตรการจำกัดการนำเข้ารถยนต์จากญี่ปุ่น ค่ายรถญี่ปุ่นหลายรายก็ต้องย้ายฐานการผลิตมาอยู่ในสหรัฐ

อย่างไรก็ดี กลุ่มที่เสียประโยชน์ดูเหมือนจะมีมากกว่า โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิตที่นำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจำนวนมากเพื่อนำมาผลิตสินค้าต่างๆ เช่น รถยนต์ เครื่องใช้ในครัว และอุปกรณ์การแพทย์ เป็นต้น มาตรการใหม่จะทำให้ผู้ผลิตสินค้ามากมายเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น ผู้บริโภคก็ต้องแบกรับราคาสินค้าที่สูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้ยอดขายสินค้าลดลง นำไปสู่การผลิตและการจ้างงานที่ลดลงในที่สุด

นอกจากนี้ หากประเทศต่างๆใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้า อุตสาหกรรมอื่นๆของสหรัฐก็จะโดนหางเลขไปด้วย เช่น หากจีนใช้มาตรการตอบโต้ อุตสาหกรรมการเกษตรของสหรัฐก็ไม่รอด เพราะจีนเป็นผู้ซื้อผลิตผลทางการเกษตรรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของสหรัฐ โดยเฉพาะถั่วเหลือง ซึ่งจีนเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุด นอกจากนั้นยังมีรายงานว่า สหภาพยุโรป (EU) พร้อมตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าต่างๆจากสหรัฐ ซึ่งรวมถึงรถมอเตอร์ไซค์ฮาร์เลย์ เดวิดสัน วิสกี้เบอร์เบิน และกางเกงยีนส์ลีวายส์

ทั่วโลกคัดค้าน

ความเคลื่อนไหวของโดนัลด์ ทรัมป์ ในครั้งนี้ ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก นายโรแบร์โต อาเซเวโด ผู้อำนวยการองค์การการค้าโลก (WTO) ได้ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อการที่สหรัฐประกาศแผนเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม ขณะที่มีแนวโน้มที่จะเกิดการตอบโต้จากประเทศคู่ค้า ซึ่งการทำสงครามการค้าจะไม่เกิดประโยชน์ต่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด และองค์การการค้าโลกจะจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

นายเบิร์นฮาร์ด แมทเทส ประธานสมาคมอุตสาหกรรมรถยนต์เยอรมนี (VDA) กล่าวว่า ควรมีการหลีกเลี่ยงการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและยุโรป เนื่องจากจะส่งผลให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเป็นผู้แพ้ และการเรียกเก็บภาษีนำเข้าไม่ใช่คำตอบของการแก้ไขปัญหา

ขณะที่นายจาง เย่สุย โฆษกสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) ระบุว่า จีนไม่ต้องการทำสงครามการค้ากับสหรัฐ แต่จะดำเนินมาตรการตอบโต้ หากการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมของสหรัฐกระทบต่อผลประโยชน์ของจีน

ทางด้านนายฌอง-คล็อด ยุงเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ซึ่งเป็นองค์กรบริหารของ EU ระบุว่า หากสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม EU ก็จะตอบโต้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าสามารถใช้มาตรการนี้ได้เหมือนกัน โดยมีรายงานว่า EU เล็งเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐในอัตรา 25% ซึ่งสินค้านำเข้าจากสหรัฐที่ EU ตั้งเป้าว่า จะเก็บภาษีไม่ได้มีแค่เหล็กเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเสื้อยืด เครื่องสำอาง มอเตอร์ไซค์ สุรา น้ำผลไม้ สินค้าเกษตร และอื่นๆ

นางเซซิเลีย มาล์มสตรอม กรรมาธิการด้านการค้าของยุโรปกล่าวเสริมว่า มาตรการเหล่านี้ของสหรัฐจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อความสัมพันธ์ระหว่างภูมิภาคและตลาดโลก ขณะเดียวกันก็จะเป็นการเพิ่มต้นทุน และลดทางเลือกสำหรับผู้บริโภคเหล็กและอลูมิเนียมในสหรัฐ รวมถึงบรรดาอุตสาหกรรมที่นำเข้าสินค้าเหล่านี้ด้วย

ล่าสุด นายทาเคโอะ อะกิบะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น ได้พบกับนายวิลเลียม แฮเกอร์ตี เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำญี่ปุ่น เพื่อย้ำว่า เหล็กและอลูมิเนียมที่สหรัฐนำเข้าจากญี่ปุ่น ไม่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อความมั่นคงของสหรัฐ

ความแตกแยกภายใน

นอกจากจะถูกนานาประเทศต่อต้านแล้ว ความเคลื่อนไหวของปธน.ทรัมป์ยังสร้างความแตกแยกภายในประเทศและในพรรคของตนเองด้วย โดยกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะผู้ผลิตรถยนต์ รวมถึงเกษตรกรในสหรัฐ ได้เริ่มออกมาเคลื่อนไหวคัดค้าน โดยหวังจะล็อบบี้สมาชิกพรรครีพับลิกันกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยให้ใช้อำนาจทางกฎหมายขัดขวางมาตรการดังกล่าว ขณะที่สมาชิกระดับสูงของพรรครีพับลิกันอย่างนายพอล ไรอัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ก็ได้ออกมาแสดงความกังวลอย่างมากและเรียกร้องให้ปธน.ทรัมป์ยกเลิกมาตรการนี้

อย่างไรก็ตาม ปธน.ทรัมป์ก็ยังยืนยันว่าจะ "ไม่ยอมถอย" พร้อมกับแสดงความเชื่อมั่นว่ามาตรการดังกล่าวจะไม่ก่อให้เกิดสงครามการค้า จนล่าสุด นายแกรี่ โคห์น หัวหน้าที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว ได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งแล้ว โดยระบุว่าแผนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าของปธน.ทรัมป์ อิงจากรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ซึ่งเป็นรายงานที่ใช้ไม่ได้ เนื่องจากไม่มีการวิเคราะห์ตำแหน่งงานที่จะหายไปจากการจัดเก็บภาษีดังกล่าว ขณะเดียวกัน นายมิทช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน เปิดเผยว่า สมาชิกพรรคมีความวิตกกังวลอย่างมากว่ามาตรการนี้อาจลุกลามกลายเป็นสงครามการค้า

ท่ามกลางกระแสคัดค้านจากทุกทิศทุกทาง ผู้นำสหรัฐจะดันทุรังเดินหน้าต่อไปหรือสุดท้ายจะยอมถอย คงจะได้รู้กันในอีกไม่นาน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ