บทความ: "สะกดรอย....สภาพคล่อง" โดย จีทีเวลธ์ แมเนจเมนท์

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday June 26, 2013 18:09 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--26 มิ.ย.--จีทีเวลธ์ แมเนจเมนท์ สวัสดีครับดูเหมือนว่าผลกระทบที่เกิดจากสัญญาณการชะลอมาตรการคิวอีจะรุนแรงกว่าที่เราคาดการณ์และผมเชื่อว่ามากกว่าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ คาดเช่นกัน การเกิดแรงขายสินทรัพย์ในเกือบจะทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นที่ตกลงทั่วโลกโดยไม่เลือกปฏิบัติว่าเป็นประเทศที่มีพื้นฐานดีหรือมีหนี้สินรุมเล้า กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงพันธบัตรซึ่งถือว่าเคยเป็นยุคเฟื่องฟูสะท้อนผ่านอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรที่พุ่งสูงขึ้นหลังส่งสัญญาณ การขายในเกือบจะทุกสินทรัพย์แบบนี้ทำให้ผมเกิดคำถามครับว่า “สภาพคล่องหายไปไหน??” เราต้องเข้าใจก่อนครับว่าการส่งสัญญาณชะลอมาตรการไม่ได้หมายความว่าจะชะลอแล้ว และถึงจะเริ่มชะลอจริงก็ยังมีสภาพคล่องใหม่ไหลเข้ามาแค่ในอัตราส่วนที่ลดลงเท่านั้นเอง ยังไม่มีใครพูดถึงการถอนสภาพคล่องออกเลยแม้แต่น้อย นั้นหมายความว่าเงินในระบบยังมีปริมาณมากและมีแนวโน้มจะมากขึ้นใช่หรือไม่ คำตอบคือใช่ และถ้าเงินในระบบยังมีมากเงินเหล่านี้หายไปไหน ?? คำตอบคือกลับไปเป็นเงินสดครับ เงินสดที่เป็นดอลล่าร์สหรัฐฯ เพราะตลาดการลงทุนจะตอบรับต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเสมอ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรอให้มีการชะลอแค่คำพูดที่มีน้ำหนักมากพอก็ทำให้ “ตลาด” เชื่อและพร้อมที่จะขายสินทรัพย์ต่าง ๆ จากความเชื่อสักสามอย่างด้วยกัน อย่างแรกสินทรัพย์ที่กำลังลงทุนอยู่นั้นอาจจะมีการปรับตัวลดลงจากการชะลอคิวอีและที่ผ่านมาก็มีกำไรทำไมจะไม่ขาย?? สองทิศทางค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ น่าจะต้องแข็งค่าขึ้นในอนาคตจะการชะลอมาตรการคิวอีประเด็นนี้ทุกคนรู้กันนั่นหมายความว่าถือดอลล่าร์สหรัฐฯ ก็ปลอดภัยกว่า ขณะที่การลงทุนในต่างประเทศแม้จะมีผลตอบแทนในระดับที่น่าพอใจแต่อาจจะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อแลกกลับมาเป็นดอลล่าร์สหรัฐฯ และสุดท้ายเชื่อว่าดอกเบี้ยในตลาดเงินสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นดังนั้นเงินที่กู้ยืมเพื่อนำไปลงทุนในต่างชาติก็จะถูกดึงกลับมาเพราะความน่าสนใจในการทำ carry trade ลดลงจากต้นทุนดอกเบี้ยในประเทศที่สูงขึ้น นอกจากนี้ผมเชื่อว่าหลายท่านกลัวความเสี่ยงและหันมาถือเงินสดก็อาจจะเป็นอีกประเด็นหนึ่ง คำถามต่อมาคือเงินสดที่เป็นดอลล่าร์สหรัฐฯ จะถือนานแค่ไหน ?? ผมมองภาพของการถือเงินสดแล้วออกดอกออกผลไม่ออก นั่นหมายความว่าในอนาคต ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเงินในระบบต้องกลับเข้ามาลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนซึ่งถ้าให้มองจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันตลาดหุ้นสหรัฐฯ รวมถึงในภูมิภาคเอเชียบางประเทศที่ยังรักษาการเติบโตในระดับที่ดีก็น่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ ตลาดหุ้นไทยเองก็ถือว่าเป็นหนึ่งตลาดที่น่าสนใจแม้ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้อาจจะน้อยกว่าที่ประเมินกันไว้ในช่วงต้นปีโดยส่วนตัวผมเชื่อว่าโตเกิน 4% นอกจากนี้สิ่งที่เห็นคือการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนอยู่ในเกณฑ์ที่ดีและได้แรงหนุนจากการลดภาษีลงเหลือ 20% ขณะที่โครงการใช้จ่ายภาครัฐแม้จะมีขั้นตอนอีกหลายขั้นแต่ก็เชื่อว่าการปูแนวความคิดในการขยับศักยภาพของประเทศผ่านโครงสร้างพื้นฐานจะทำให้เกิดการลงทุนจริงในอนาคต ซึ่งการพัฒนาโครงสร้างประเทศในช่วงเวลานี้ก็จะเป็นการเรียกแขกได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ดีในช่วงครึ่งหลังของปีเชื่อว่ายังมีปัจจัยเสี่ยงอยู่หลายเรื่องทำให้การคาดเดาทิศทางของสภาพคล่องที่มีอยู่ในตลาดคงทำได้ยาก แต่เชื่อว่าท้ายที่สุดสภาพคล่องเหล่านี้ต้องหาที่ไป ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทางเศรษฐกิจในช่วงนั้น ๆ สินทรัพย์ประเภทใดหรือภูมิภาคใดจะจูงใจต่อการลงทุนมากกว่า สิ่งที่อยากฝากไว้สำหรับนักลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปีคือในภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนแบบนี้การบริหารเงินเป็นเรื่องที่ยากแต่จำเป็นเพราะด้วยหลักการเดียวกันถ้าเราปล่อยให้เงินที่มีอยู่ไม่งอกเงยไปในอนาคตความมั่งคั่งที่สะสมไว้ก็จะสึกหรอตามค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นทุกวัน แต่การลงทุนแบบโดยไม่รู้ทิศทางตลาดก็อาจจะทำให้เงินออมก้อนเดียวกันสูญหายไปกับการขาดทุนในสินทรัพย์ได้ ดังนั้นการให้ความสนใจติดตามข่าวสารและหาความรู้ด้านการลงทุนอย่างสม่ำเสมอจะเป็นภูมิคุ้มกันเงินออมและสร้างดอกผลของเงินที่มีได้ในอนาคต วันนี้ลากันไปก่อนครับ สำหรับนักลงทุนที่สนใจการลงทุนในตราสารอนุพันธ์อย่าง SET50 Index Futures, Gold — Silver futures รวมถึงอนุพันธ์อื่น ติดต่อได้ที่ GT Wealth Management 02-673-9911 ต่อ 250 โดย กมลธัญ พรไพศาลวิจิต ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท จีที เวลธ์ แมเนจเมนท์ จำกัด

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ