เมื่อดิจิตอล ยูนิเวิร์สถูกรุกรานโดยเซ็นเซอร์

ข่าวเทคโนโลยี Thursday April 24, 2014 15:27 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--24 เม.ย.--พีซี แอนด์ แอสโซซิเอทส์ คอนซัลติ้ง ผลการศึกษาประจำปีครั้งที่ 7 เผยให้เห็นว่าดิจิตอล ยูนิเวิร์สจะเติบโตถึง 10 เท่าภายในปี 2020โดยข้อมูลถูกสร้างขึ้นจากอุปกรณ์ที่ประกอบด้วยเซ็นเซอร์ถึง 10% วันนี้อีเอ็มซีคอร์เปอเรชั่น (NYSE:EMC) เผยผลการศึกษา EMC Digital Universe ครั้งที่ 7 ซึ่งถือเป็นรายงานเดียวเท่านั้นที่แสดงปริมาณและคาดการณ์ปริมาณข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นรายปี ในปีนี้มีชื่อว่า “The Digital Universe of Opportunities: Rich Data and the Increasing Value of the Internet of Things,” ที่ทำการวิจัยและวิเคราะห์โดย IDC ชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีไร้สาย ผลิตภัณฑ์ที่ชาญฉลาด (Smart Product) และธุรกิจ software-define มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มปริมาณข้อมูลให้กับโลกอินเตอร์เน็ตของสิ่งต่างๆ (internet of things) ทำให้ปริมาณข้อมูลเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุกๆ สองปี ระหว่างช่วงปี 2013 ถึง 2014 ปริมาณข้อมูลจะเพิ่มประมาณเป็นสิบเท่า จาก 4.4 ล้านล้านกิกะไบต์เป็น 44 ล้านล้านกิกะไบต์ ภาพรวมของการศึกษา: ปริมาณข้อมูลใน digital universe มีประมาณเท่ากับข้อมูลที่บรรจุลงใน iPad Air ที่ตั้งซ้อนกันจนสูงถึง 2 ใน 3 ของระยะทางไปถึงดวงจันทร์ (157,674 ไมล์/ 253,704 กิโลเมตร) และภายในปี 2020 จะมีปริมาณข้อมูลที่บรรจุใน iPad Air สูงถึง 6.6 แถว ในปัจจุบันปริมาณข้อมูลเฉลี่ยที่แต่ละครัวเรือนผลิตต่อปีมีประมาณมากเท่ากับข้อมูลที่บรรจุลงในiPhone 65 เครื่อง และในปี 2020 จะเติบโตเท่ากับ iPhone 318 เครื่อง ถ้าข้อมูล 1 ไบต์มีขนาดเท่ากับน้ำ 1 แกลลอน ปัจจุบันจะใช้เวลา 10 วินาทีเพื่อให้ได้มีปริมาณมากพอที่จะบรรจุในบ้าน 1 หลัง ในขณะที่ในปี 2020 จะใช้เวลาเพียง 2 วินาทีเท่านั้น Internet of Things ประกอบด้วยอุปกรณ์ในชีวิตประจำวันหลายพันล้านชิ้นที่มีเครื่องวัดและเก็บข้อมูลโดยอัตโนมัติ สร้างรายงานและรับข้อมูล เช่น เซ็นเซอร์ในรองเท้าที่เก็บข้อมูลความเร็วในการวิ่งหรือเชื่อมโยงรูปแบบการจราจร IDC ระบุว่าจำนวนอุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตมีถึง 2 แสนล้านในปัจจุบัน โดยที่ 7% (หรือ 14,000 ล้าน) มีการเชื่อมต่อและสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ต ข้อมูลจากอุปกรณ์เหล่านี้นับเป็นจำนวน 2% ของข้อมูลในโลกปัจจุบัน นอกจากนี้ IDC ยังคาดการณ์ว่าภายในปี 2020 ปริมาณอุปกรณ์เชื่อมต่อเหล่านี้จะเพิ่มเป็น 3 หมื่นล้านเครื่องซึ่งนับเป็น 10% ของข้อมูลในโลก Internet of Things จะก่อให้เกิดปริมาณข้อมูลจำนวนมหาศาลที่เป็นประโยชน์ (และสามารถนำไปวิเคราะห์เพื่อต่อยอดใน digital universe ได้) ในปี 2013 มีข้อมูลเพียง 22% เท่านั้นที่นับว่าเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์แต่มีข้อมูลไม่ถึง 5% ที่มีการนำไปวิเคราะห์ ซึ่งเท่ากับว่ามีข้อมูลจำนวนมากใน digital universe ที่ถูกละเลย คาดว่าภายในปี 2020 จำนวนข้อมูลที่เป็นประโยชน์จะมีมากกว่า 35% ทั้งนี้ต้องขอบคุณการเติบโตของ Internet of Things แต่อย่างไรก็ดีการใช้ประโยชน์จากข้อมูลเหล่านั้นยังขึ้นกับองค์กรธุรกิจ ปรากฏการณ์นี้จะนำเสนอวิธีการใหม่ในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า ปรับปรุงวงจรการขาย (salescycle) ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดค่าใช้จ่ายด้านการปฏิบัติการ กระตุ้นให้เกิดโอกาสทางธุรกิจหลายล้านล้านดอลลาร์ และในทางตรงกันข้ามปรากฏการณ์นี้ยังชี้ให้เห็นความท้าทายของธุรกิจในการบริหารจัดการ จัดเก็บ และปกป้องข้อมูลจำนวนมากและหลากหลาย ตัวอย่างเช่น IDC ได้ประมาณการว่า 40% ของข้อมูลใน digital universe ต้องการการปกป้องในระดับหนึ่งไม่ว่าจะเป็นการปกป้องในระดับสูงตั้งแต่การตรวจวัดความปลอดภัยที่มากขึ้นจนถึงการทำ encryption ข้อมูลอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว แค่ครึ่งหนึ่งของปริมาณ data หรือเพียงแค่ 20% เท่านั้นที่ได้รับการปกป้องจริงๆ ข้อค้นพบที่น่าสนใจอื่นๆ ตลาดเกิดใหม่ผลิตข้อมูลมากขึ้น: ปัจจุบัน 60% ของข้อมูลใน digital universe มาจากตลาดในประเทศที่เติบโตเต็มที่ เช่น ประเทศเยอรมัน ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา แต่ภายในปี 2020 อัตราส่วนจะกลับกันกล่าวคือ ตลาดเกิดใหม่ (emerging market) เช่น บราซิล จีน อินเดีย เม็กซิโก และรัสเซียจะเป็นเจ้าของข้อมูลส่วนใหญ่ ข้อมูลจะล้นสตอเรจ: ความจุของสตอเรจที่พร้อมจัดเก็บข้อมูลทุกประเภทรวมกัน เช่น เนื้อที่ที่ยังไม่ได้ใช้จัดเก็บข้อมูล ข้อมูลที่มีอยู่ในมีการเติบโตช้ากว่า digital universe ในปี 2013 มีสตอเรจที่พร้อมจัดเก็บข้อมูลเพียงแค่ 33% ของข้อมูลที่มีทั้งหมดใน digital universe และประมาณปี 2020 สตอเรจจะมีเนื้อที่พร้อมจัดเก็บข้อมูลได้ไม่ถึง 15% โชคดีที่ข้อมูลส่วนใหญ่ในโลกเป็นข้อมูลชั่วคราว เช่น Netflix หรือ Hulu stream, Xbox ONE game interactions, Digital TV ซึ่งไม่ต้องการพื้นที่สตอเรจในการจัดเก็บ ปริมาณข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคลาวด์จะเพิ่มเป็นสองเท่า: ในปี 2013 มีข้อมูลน้อยกว่า 20% ของ digital universe ที่มีความเชื่อมโยงกับคลาวด์ แต่ภายในปี 2020 จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าคือ 40% ผู้บริโภคเป็นผู้สร้างข้อมูลแต่องค์กรเป็นผู้รับผิดชอบข้อมูลเหล่านั้น: สองในสามของข้อมูลใน digital universe ถูกสร้างและจัดเก็บโดยผู้บริโภคและพนักงาน แต่อย่างไรก็ดีองค์กรเป็นผู้ที่ต้องรับผิดหรือรับผิดชอบข้อมูลมากถึง 85% ของข้อมูลทั้งหมดใน digital universe คำกล่าวจากอีเอ็มซี เจอรามี่ เบอร์ตัน, ประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์และการตลาด EMC Information Infrastructure “ในขณะที่ธุรกิจจำนวนมากขึ้นได้ประโยชน์จากปรากฏการณ์โซเชียลและโมบายล์ ขนาดทำให้ศักยภาพของ digital universe เติบโตขึ้น ธุรกิจต่างก็เห็นโอกาสในการวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นเพื่อหันมาประโยชน์ทางธุรกิจมากขึ้นนอกเหนือจากข้อมูลที่มีอยู่และอาจกล่าวได้ว่า เราจะเห็นแน่นอนว่าบริษัททุกประเภทจะทำการปรับเปลี่ยนไปสู่ software-define enterprise แม้จะมีความเป็นไปได้สูงแต่กลับเป็นเรื่องที่ต้องน่ากังวลพอๆ กับแผนกสารสนเทศที่จะต้องกดปุ่มสตาร์ทและหาวิธีการใหม่ๆ ที่จะสร้างนวัตกรรมใหม่ให้เกิดขึ้นจากระบบโครงสร้างพื้นฐานเดิมที่มีอยู่ ในขณะเดียวกันก็จะต้องปรับเปลี่ยนไปสู่แพลตฟอร์มที่สาม (third platform computing) ในอนาคต” *คำนวณโดยใช้ iPad Air หนา .29”, ความจุ 128 กิกะไบต์ คำกล่าวจากIDC Vernon Turner, รองประธานอาวุโส, IDC “Digital universe และ Internet of Things ขยายไปด้วยกัน และด้วยเซ็นเซอร์เชื่อมโยงกับอินเตอร์เน็ต ดังนั้นข้อมูลที่เกิดขึ้นมาจะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในทุกมุมมองของธุรกิจ การเปลี่ยนผ่านจากอุตสาหกรรมเดิมไปสู่สิ่งใหม่ การบริการสตอเรจแบบเดิมๆ จะถูกยกระดับให้มีความยืดหยุ่นยิ่งขึ้นและรองรับ digital universe มั่นใจว่าเกิดขึ้นได้ในสภาวะแวดล้อมแบบ software-define เท่านั้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ญาดา ตันสกุล พีซี แอนด์ แอสโซซิเอทส์ คอนซัลติ้ง โทร: +66 2 971 3711 อีเมล์: yada@pc-a.co.th

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ