ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ครม. เห็นชอบร่าง พรบ.ธปท. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบร่าง พรบ.ธปท. ตามที่ ก.คลังเสนอ โดยเน้นปรับโครงสร้างองค์กรให้มีการบริหารงานที่คล่องตัว เพื่อเพิ่ม
ประสิทธิภาพการทำงานให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล เนื่องจากที่ผ่านมาไทยประสบปัญหาวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง โดยเฉพาะระบบ
การเงินของประเทศที่ ธปท. ดำเนินการแก้ไขปัญหาได้ไม่เต็มที่ จนปัญหาลุกลามกระทบต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจทั้งหมด สำหรับโครงสร้าง
ให้มีคณะกรรมการ 4 คณะ ในการบริหารงานและควบคุมการดำเนินงานของ ธปท. ได้แก่ คณะกรรมการ ธปท. คณะกรรมการนโยบายการเงิน
คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน และคณะกรรมการระบบการชำระเงิน โดยให้ ธปท. มีอำนาจหน้าที่เป็นนายธนาคารของรัฐบาล หน่วยงาน
อื่นของรัฐ และรัฐวิสาหกิจ เช่น รับเงินเพื่อเข้าบัญชีฝากของ ก.คลัง รับเก็บรักษาเงิน หลักทรัพย์ ของมีค่าอย่างอื่น และแลกเปลี่ยนเงินและส่ง
ไปต่างประเทศในกิจการของรัฐบาล เป็นต้น นอกจากนี้ ให้ ธปท. เป็นนายทะเบียนหลักทรัพย์ของรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และสถาบันการเงิน รวมทั้ง
มีอำนาจกระทำการเป็นตัวแทนของรัฐบาลตามที่ได้รับมอบหมาย ด้าน รมว.คลัง กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. ได้เห็นชอบร่าง พรบ.เงินตรา เป็น
การแก้ไขระบบบัญชีของ ธปท. ให้มีมาตรฐานสากลมากขึ้น เพราะเดิมทุนสำรองระหว่างประเทศมีกำไรจะเห็นเฉพาะตัวเลขว่ามีผลกำไร แต่ไม่
สามารถนำส่งเข้าคลังได้ ขณะที่หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นจนส่งผลทำให้ขาดทุนทางบัญชีกลับนำผลขาดทุนมารวมในบัญชีผลการดำเนินงานของ ธปท.
นอกจากนี้ ครม. ยังได้เห็นชอบร่าง พรบ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ตามที่ ก.คลังเสนอ เพื่อพัฒนาตลาดทุนให้มีประสิทธิภาพเป็นที่ยอมรับตาม
มาตรฐานสากลและปลอดจากการแทรกแซงทางการเมือง เพราะ รมว.คลังไม่ได้เป็นประธานเหมือนกับในปัจจุบัน (เดลินิวส์, โพสต์ทูเดย์)
2. เอ็นพีแอลของระบบสถาบันการเงินในเดือน ม.ค.50 เพิ่มขึ้น 1.6 พันล้านบาท รายงานข่าวจาก ธปท. เปิดเผยว่า หลังจาก
ที่สถาบันการเงินของไทยโดยเฉพาะ ธ.พาณิชย์หลายแห่งได้มีการกันสำรองเอ็นพีแอลตามมาตรฐานการบัญชีใหม่ (IAS39) ส่งผลให้ในเดือน
ธ.ค.49 มียอดคงค้างเอ็นพีแอลลดลงอย่างมากอยู่ที่ประมาณ 238,565 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.15 ของสินเชื่อรวม แต่ในเดือน ม.ค.50
ยอดเอ็นพีแอลของสถาบันการเงินกลับเพิ่มขึ้น 1,623 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.68 ของสินเชื่อรวม จากปัจจุบันที่มียอดรวม
240,188 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.19 ของสินเชื่อรวม ทั้งนี้ จากข้อมูลในเดือน ม.ค.50 เอ็นพีแอลของ ธ.พาณิชย์ไทยมียอดรวมทั้งสิ้น
231,571 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.54 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 1,626 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.71 ของสินเชื่อรวม โดยรายละเอียดของ
เอ็นพีแอลใน ธ.พาณิชย์แต่ละแห่งพบว่ามีเพียง 5 แห่งเท่านั้นที่มีการเปลี่ยนแปลงตัวเลขในเดือน ม.ค. ได้แก่ ธ.กรุงศรีฯ มีเอ็นพีแอลรวม
25,463 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.81 ของสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 2,085 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.92 ของสินเชื่อรวม
ธ.ไทยธนาคาร มีเอ็นพีแอล 1,753 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.72 ของสินเชื่อรวม ลดลงจากเดือนก่อน 102 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 5.50
ของสินเชื่อรวม ธ.ธนชาติ มีเอ็นพีแอลรวม 1,650 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.83 ของสินเชื่อรวม ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 122 ล้านบาท
หรือลดลงร้อยละ 6.88 ของสินเชื่อรวม ธ.เกียรตินาคิน มีเอ็นพีแอลคิดเป็นร้อยละ 9.97 ของสินเชื่อรวม เทียบกับเดือนก่อนที่มีสัดส่วนร้อยละ
10.12 และ ธ.ทหารไทยแม้จะมีสัดส่วนเอ็นพีแอลต่อสินเชื่อรวมเท่าเดิมคือร้อยละ 6.33 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน แต่ยอดเอ็นพีแอลคงค้างเพิ่มขึ้น
1 ล้านบาท (ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้)
3. ก.คลังปรับลดพยากรณ์เศรษฐกิจปีนี้เหลือร้อยละ 4.0 — 4.5 นางพรรณี สถาวโรดม ผอ.สนง.เศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า
ก.คลังได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 50 โดยคาดว่าจีดีพีจะขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 4.0 — 4.5 จากเดิมร้อยละ 4 — 5 เพราะการส่งออก
และการบริการที่เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักในปีก่อนมีแนวโน้มชะลอตัวลงตามเศรษฐกิจประเทศคู่ค้ามาอยู่ที่ร้อยละ 6.4 — 7.4 ต่อปี จากปีก่อน
อยู่ที่ร้อยละ 9.1 ต่อปี ประกอบกับการใช้จ่ายภาคเอกชนทั้งการบริโภคและการลงทุนยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ทั้งนี้ หากรัฐเร่งเบิกจ่ายงบประมาณได้
ตามเป้าที่ตั้งไว้ร้อยละ 93 ของกรอบวงเงินงบประมาณปี 50 รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายงบลงทุนได้ตามเป้าร้อยละ 85 ของงบลงทุนทั้งหมด และ
อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลงเพียงพอที่จะเอื้อต่อการฟื้นตัวของการลงทุนภายในประเทศ รวมถึงการดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพ
คาดว่าจะส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 3.5 — 3.9 การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 5.1 — 5.4 และการลงทุนภาครัฐ
ขยายตัวร้อยละ 1.7 - 10.1 ขณะที่ปริมาณการนำเข้าสินค้าและบริการจะอยู่ที่ร้อยละ 7.8 — 8.9 ส่วนเสถียรภาพภายในประเทศมีแนวโน้มดีขึ้น
คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ร้อยละ 2.5 — 3.0 ลดลงจากร้อยละ 4.7 เป็นผลจากราคาต้นทุนการผลิตที่ถูกลงตามการปรับลดของราคา
น้ำมันดิบในตลาดโลก (โลกวันนี้, ผู้จัดการรายวัน, มติชน)
4. ครม. อนุมัติวงเงิน งปม. รายจ่ายปี งปม.51 แบบขาดดุล 1.2 แสนล้านบาท ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำ
สำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่ ครม. มีมติอนุมัติกรอบวงเงิน งปม.รายจ่ายประจำปี งปม.51 แบบขาดดุล 1.2 แสนล้านบาทนั้น อยู่ภายใต้
สมมติฐานเศรษฐกิจปี 51 จะขยายตัวร้อยละ 5 อัตราเงินเฟ้อร้อยละ 3 โดยเชื่อว่าการขยายตัวด้านการลงทุนของภาคเอกชนจะเป็นแรงกระตุ้น
ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากการทยอยลดอัตราดอกเบี้ยในปี 50 รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงจากแนวโน้มราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง นอกจากนี้
การบริหารจัดการประเทศในปี 51 จะมีการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและการบริหารการคลังแบบยั่งยืนมาเป็นหลักในการพัฒนาและบริหาร
ประเทศ ทั้งนี้ งปม.รายจ่ายปี 51 จะเป็นรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ 51,747 ล้านบาท และเป็นรายจ่ายด้านลงทุน 416,925 ล้านบาท
คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 25.5 ของเงิน งปม. รวมเพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่อยู่ระดับร้อยละ 24 นอกจากนี้ รัฐบาลจะยังมุ่งเน้นใช้ งปม. เพื่อควบคุม
อัตราการขยายตัวของรายจ่ายประจำให้เพิ่มขึ้นอย่างเหมาะสม การใช้งบลงทุนที่เพิ่มขึ้นจากปี งปม.50 และส่งเสริมการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น
โดยเร่งรัดการถ่ายโอนภารกิจให้แก่ท้องถิ่นเร็วขึ้น สำหรับแนวทางการจัดทำ งปม.ปี 51 มีเป้าหมายจะควบคุมสัดส่วนหนี้สาธารณะคงค้างต่อ
จีดีพีไม่ให้เกินร้อยละ 50 และสัดส่วนภาระหนี้ต่อ งปม.รายจ่ายไม่เกินร้อยละ 15 (โพสต์ทูเดย์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คาดว่าดัชนีอุตสาหกรรมการผลิตของ สรอ.ในเดือน ก.พ.50 จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 50.0 รายงานจากนิวยอร์ก เมื่อ
27 ก.พ.50 ผลสำรวจของนักเศรษฐศาสตร์ 81 คนโดยรอยเตอร์คาดการณ์ว่า ดัชนีอุตสาหกรรมการผลิตของ สรอ.ในเดือน ก.พ.50 จะ
เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 50.0 ซึ่งเป็นระดับที่อยู่ในช่วงกลางพอดีอันแสดงถึงว่าไม่มีการขยายตัวหรือหดตัว หลังจากที่อยู่ที่ระดับ 49.3 ในเดือน
ม.ค.50 ซึ่งหากดัชนีดังกล่าวอยู่เหนือกว่าระดับ 50 บ่งชี้ว่าขยายตัว และหากต่ำกว่าระดับ 50 แสดงถึงการหดตัว ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า
การที่ตัวเลขดัชนีดังกล่าวหดตัวลงในเดือน ม.ค.50 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากผู้ประกอบการสะสมสินค้าคงคลังมากเกินไป รวมทั้งการที่ตลาดที่อยู่
อาศัยและตลาดรถยนต์ชะลอตัว อันจะส่งผลกระทบต่อเนื่องมาจนถึงเดือน ก.พ.50 ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าดัชนีดังกล่าวจะอยู่ในช่วงระหว่าง
48.0 — 52.0 อนึ่ง The Institute for Supply Management (ISM) จะรายงานตัวเลขดังกล่าวอย่างเป็นทางการในวันพฤหัสบดีที่
1 มี.ค.50 นี้ เวลา 10.00 น.ตามเวลาท้องถิ่นในภาคตะวันออกของ สรอ. (รอยเตอร์)
2. ในเดือน ม.ค. ปริมาณเงินหมุนเวียน M3 ของยูโรโซนขยายตัวอย่างรวดเร็วที่สุดในรอบเกือบ 17 ปี รายงานจาก
Frankfurt เมื่อวันที่ 27 ก.พ. 50 ทางการยุโรปเปิดเผยว่า ในเดือนม.ค. ปริมาณเงิน M3 ซึ่งเป็นปริมาณเงินที่รวมทั้งเงินสด เงินฝาก
ระยะสั้นที่ธพ. และตราสารอื่นๆในตลาดเงิน เติบโตร้อยละ 9.8 จากช่วงเดียวกันปีก่อน ขยายตัวอย่างรวดเร็วที่สุดในรอบเกือบ 17 ปีนับ
ตั้งแต่เดือน ก.พ. 33 สอดคล้องกับตัวเลขที่ปรับใหม่ของเดือน ธ.ค. ขณะเดียวกันข้อมูลของทางการบ่งชี้ว่าธุรกิจกู้ยืมทำสถิติสูงสุดใหม่ ซึ่ง
นักวิเคราะห์หลายคนกล่าวว่าอาจสะท้อนว่าการลงทุนเพิ่มขึ้น และมีการควบรวมกิจการกันมากขึ้น ทั้งนี้จากสภาพคล่องส่วนเกินดังกล่าว ทำให้
ธ.กลางยุโรปวิตกว่าภาวะเงินเฟ้อว่าจะเพิ่มขึ้น จึงทำให้คาดว่าธ.กลางจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้ง ทั้งนี้ในรอบ 15 เดือนที่ผ่านมา
ธ.กลางยุโรปได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยมาแล้วรวมร้อยละ 1.50 และคาดว่าจะมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นร้อยละ 3.75 ในการ
ประชุมนโยบายการเงินในสัปดาห์หน้า นับเป็นการปรับเพิ่มเป็นครั้งที่ 7 และจะมีการปรับเพิ่มขึ้นอีกในระยะ 2 — 3 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้นาย
Howard Archer นักเศรษฐศาสตร์จาก Global Insight เห็นว่าภาวะเงินเฟ้อจะลดลงหากธ.กลางยุโรปปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายถึง
ร้อยละ 4.0 (รอยเตอร์)
3. อัตราเงินเฟ้อของเยอรมนีในเดือน ก.พ.50 อยู่ในระดับคงที่เท่ากับเดือน ม.ค.50 รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 27 ก.พ.50
สนง.สถิติกลางของเยอรมนีรายงานตัวเลขเบื้องต้นดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือน ก.พ.50 คงที่อยู่ที่ร้อยละ 1.6 ต่อปี (CPI) และร้อยละ 1.8
ต่อปีเมื่อคำนวณตามแบบสหภาพยุโรปหรือ HICP ต่ำกว่าที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 ต่อปี (CPI) และร้อยละ 1.9 ต่อปี (HICP)
ตามลำดับ โดยตัวเลขจากทั้ง 6 รัฐของเยอรมนีแสดงให้เห็นว่าราคาน้ำมันและแพ็กเก็จท่องเที่ยวในวันหยุดมีส่วนทำให้อัตราเงินเฟ้อในเดือน
ก.พ.50 สูงขึ้นร้อยละ 0.4 ต่อปี ทั้งนี้ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของเยอรมนีซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดใน Euro zone ชี้แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของ
Euro zone ในเดือน ก.พ.50 ว่าอาจคงที่อยู่ที่ร้อยละ 1.9 ต่อปีหรือชะลอตัวลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.8 ต่อปี อัตราเงินเฟ้อของเยอรมนีที่เพิ่มขึ้นต่ำ
กว่าที่คาดไว้ แม้ว่าอัตราภาษีที่เรียกเก็บจากผู้บริโภคหรือ VAT เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 เป็นร้อยละ 19.0 ตั้งแต่ต้นปี 50 ที่ผ่านมาแล้วก็ตาม
แสดงให้เห็นว่าผู้ค้าปลีกสามารถรองรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ แต่อย่างไรก็ดี แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อของเยอรมนีจะเพิ่มขึ้นต่ำกว่าที่คาดไว้เป็นเดือนที่
3 ติดต่อกันแล้วก็ตาม แต่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า ธ.กลางยุโรปหรือ ECB จะยังขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือน มี.ค.50 ที่จะถึงนี้
และอีกครั้งในเดือน มิ.ย.50 ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 4.0 ต่อปี ทั้งนี้ สนง.สถิติกลางของเยอรมนีมีกำหนดรายงานดัชนี
ราคาผู้บริโภคอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 มี.ค.50 นี้ (รอยเตอร์)
4. Business receipts index ของสิงคโปร์ขยายตัวร้อยละ 4.4 ในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 49 รายงานจากสิงคโปร์เมื่อ
27 ก.พ.50 The Department of Statistics เปิดเผยว่า Business receipts index ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดรายได้จากธุรกิจภาคบริการ
ของสิงคโปร์ในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 49 ขยายตัวร้อยละ 4.4 เทียบต่อปี ขยายตัวสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรกของปี 49 เป็นผลจากการเติบโต
ของธุรกิจไปรษณีย์-การสื่อสาร ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์-บริการให้เช่า และธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นว่าการเติบโต
ของภาคบริการสิงคโปร์จะสามารถชดเชยภาวะชะลอตัวของภาคอุตสาหกรรมและการส่งออก โดยเฉพาะการส่งออกไปยัง สรอ.ซึ่งเป็นตลาดใหญ่
ที่สุดสำหรับสินค้าส่งออกหลักของสิงคโปร์ อาทิเช่น สินค้าไฮเทคและเภสัชภัณฑ์ ขณะที่เมื่อเทียบต่อไตรมาส ดัชนีขยายตัวร้อยละ 9.9 เติบโตขึ้น
อย่างมากเมื่อเทียบกับ 2 ไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 2.6 และ 2.1 ตามลำดับ สำหรับดัชนีเมื่อไม่รวมธุรกิจบริการทางการเงินและ
ประกันภัย ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 1 ใน 5 ของดัชนี ขยายตัวร้อยละ 5.8 เทียบต่อปี ทั้งนี้ ภาคบริการของสิงคโปร์ซึ่งมีสัดส่วนเป็นกว่าร้อยละ 60
ของจีดีพี และมีรายได้เป็นสัดส่วนครึ่งหนึ่งของการจ้างงาน มีการขยายตัวต่อเนื่องมาเป็นเวลา 14 ไตรมาส โดยในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 49
ภาคบริการของสิงคโปร์ขยายตัวร้อยละ 6.6 เทียบต่อปี เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการขยายตัวร้อยละ 6.3 ในช่วงไตรมาสก่อนหน้า นับเป็นปัจจัย
สนับสนุนให้ทางการสิงคโปร์ปรับเพิ่มประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 50 เป็นร้อยละ 4.5-6.5 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 28 ก.พ. 50 27 ก.พ. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 35.567 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 35.3777/35.7032 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.79969 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 683.95/10.87 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 11,150/11,250 11,400/11,500 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 57.15 58.51 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 25.99*/22.94** 25.99*/22.94** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 24ก.พ. 50
** ปรับลดลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 21 ก.พ. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ครม. เห็นชอบร่าง พรบ.ธปท. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบร่าง พรบ.ธปท. ตามที่ ก.คลังเสนอ โดยเน้นปรับโครงสร้างองค์กรให้มีการบริหารงานที่คล่องตัว เพื่อเพิ่ม
ประสิทธิภาพการทำงานให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล เนื่องจากที่ผ่านมาไทยประสบปัญหาวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง โดยเฉพาะระบบ
การเงินของประเทศที่ ธปท. ดำเนินการแก้ไขปัญหาได้ไม่เต็มที่ จนปัญหาลุกลามกระทบต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจทั้งหมด สำหรับโครงสร้าง
ให้มีคณะกรรมการ 4 คณะ ในการบริหารงานและควบคุมการดำเนินงานของ ธปท. ได้แก่ คณะกรรมการ ธปท. คณะกรรมการนโยบายการเงิน
คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน และคณะกรรมการระบบการชำระเงิน โดยให้ ธปท. มีอำนาจหน้าที่เป็นนายธนาคารของรัฐบาล หน่วยงาน
อื่นของรัฐ และรัฐวิสาหกิจ เช่น รับเงินเพื่อเข้าบัญชีฝากของ ก.คลัง รับเก็บรักษาเงิน หลักทรัพย์ ของมีค่าอย่างอื่น และแลกเปลี่ยนเงินและส่ง
ไปต่างประเทศในกิจการของรัฐบาล เป็นต้น นอกจากนี้ ให้ ธปท. เป็นนายทะเบียนหลักทรัพย์ของรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และสถาบันการเงิน รวมทั้ง
มีอำนาจกระทำการเป็นตัวแทนของรัฐบาลตามที่ได้รับมอบหมาย ด้าน รมว.คลัง กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. ได้เห็นชอบร่าง พรบ.เงินตรา เป็น
การแก้ไขระบบบัญชีของ ธปท. ให้มีมาตรฐานสากลมากขึ้น เพราะเดิมทุนสำรองระหว่างประเทศมีกำไรจะเห็นเฉพาะตัวเลขว่ามีผลกำไร แต่ไม่
สามารถนำส่งเข้าคลังได้ ขณะที่หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นจนส่งผลทำให้ขาดทุนทางบัญชีกลับนำผลขาดทุนมารวมในบัญชีผลการดำเนินงานของ ธปท.
นอกจากนี้ ครม. ยังได้เห็นชอบร่าง พรบ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ตามที่ ก.คลังเสนอ เพื่อพัฒนาตลาดทุนให้มีประสิทธิภาพเป็นที่ยอมรับตาม
มาตรฐานสากลและปลอดจากการแทรกแซงทางการเมือง เพราะ รมว.คลังไม่ได้เป็นประธานเหมือนกับในปัจจุบัน (เดลินิวส์, โพสต์ทูเดย์)
2. เอ็นพีแอลของระบบสถาบันการเงินในเดือน ม.ค.50 เพิ่มขึ้น 1.6 พันล้านบาท รายงานข่าวจาก ธปท. เปิดเผยว่า หลังจาก
ที่สถาบันการเงินของไทยโดยเฉพาะ ธ.พาณิชย์หลายแห่งได้มีการกันสำรองเอ็นพีแอลตามมาตรฐานการบัญชีใหม่ (IAS39) ส่งผลให้ในเดือน
ธ.ค.49 มียอดคงค้างเอ็นพีแอลลดลงอย่างมากอยู่ที่ประมาณ 238,565 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.15 ของสินเชื่อรวม แต่ในเดือน ม.ค.50
ยอดเอ็นพีแอลของสถาบันการเงินกลับเพิ่มขึ้น 1,623 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.68 ของสินเชื่อรวม จากปัจจุบันที่มียอดรวม
240,188 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.19 ของสินเชื่อรวม ทั้งนี้ จากข้อมูลในเดือน ม.ค.50 เอ็นพีแอลของ ธ.พาณิชย์ไทยมียอดรวมทั้งสิ้น
231,571 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.54 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 1,626 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.71 ของสินเชื่อรวม โดยรายละเอียดของ
เอ็นพีแอลใน ธ.พาณิชย์แต่ละแห่งพบว่ามีเพียง 5 แห่งเท่านั้นที่มีการเปลี่ยนแปลงตัวเลขในเดือน ม.ค. ได้แก่ ธ.กรุงศรีฯ มีเอ็นพีแอลรวม
25,463 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.81 ของสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 2,085 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.92 ของสินเชื่อรวม
ธ.ไทยธนาคาร มีเอ็นพีแอล 1,753 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.72 ของสินเชื่อรวม ลดลงจากเดือนก่อน 102 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 5.50
ของสินเชื่อรวม ธ.ธนชาติ มีเอ็นพีแอลรวม 1,650 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.83 ของสินเชื่อรวม ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 122 ล้านบาท
หรือลดลงร้อยละ 6.88 ของสินเชื่อรวม ธ.เกียรตินาคิน มีเอ็นพีแอลคิดเป็นร้อยละ 9.97 ของสินเชื่อรวม เทียบกับเดือนก่อนที่มีสัดส่วนร้อยละ
10.12 และ ธ.ทหารไทยแม้จะมีสัดส่วนเอ็นพีแอลต่อสินเชื่อรวมเท่าเดิมคือร้อยละ 6.33 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน แต่ยอดเอ็นพีแอลคงค้างเพิ่มขึ้น
1 ล้านบาท (ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้)
3. ก.คลังปรับลดพยากรณ์เศรษฐกิจปีนี้เหลือร้อยละ 4.0 — 4.5 นางพรรณี สถาวโรดม ผอ.สนง.เศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า
ก.คลังได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 50 โดยคาดว่าจีดีพีจะขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 4.0 — 4.5 จากเดิมร้อยละ 4 — 5 เพราะการส่งออก
และการบริการที่เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักในปีก่อนมีแนวโน้มชะลอตัวลงตามเศรษฐกิจประเทศคู่ค้ามาอยู่ที่ร้อยละ 6.4 — 7.4 ต่อปี จากปีก่อน
อยู่ที่ร้อยละ 9.1 ต่อปี ประกอบกับการใช้จ่ายภาคเอกชนทั้งการบริโภคและการลงทุนยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ทั้งนี้ หากรัฐเร่งเบิกจ่ายงบประมาณได้
ตามเป้าที่ตั้งไว้ร้อยละ 93 ของกรอบวงเงินงบประมาณปี 50 รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายงบลงทุนได้ตามเป้าร้อยละ 85 ของงบลงทุนทั้งหมด และ
อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลงเพียงพอที่จะเอื้อต่อการฟื้นตัวของการลงทุนภายในประเทศ รวมถึงการดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพ
คาดว่าจะส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 3.5 — 3.9 การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 5.1 — 5.4 และการลงทุนภาครัฐ
ขยายตัวร้อยละ 1.7 - 10.1 ขณะที่ปริมาณการนำเข้าสินค้าและบริการจะอยู่ที่ร้อยละ 7.8 — 8.9 ส่วนเสถียรภาพภายในประเทศมีแนวโน้มดีขึ้น
คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ร้อยละ 2.5 — 3.0 ลดลงจากร้อยละ 4.7 เป็นผลจากราคาต้นทุนการผลิตที่ถูกลงตามการปรับลดของราคา
น้ำมันดิบในตลาดโลก (โลกวันนี้, ผู้จัดการรายวัน, มติชน)
4. ครม. อนุมัติวงเงิน งปม. รายจ่ายปี งปม.51 แบบขาดดุล 1.2 แสนล้านบาท ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำ
สำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่ ครม. มีมติอนุมัติกรอบวงเงิน งปม.รายจ่ายประจำปี งปม.51 แบบขาดดุล 1.2 แสนล้านบาทนั้น อยู่ภายใต้
สมมติฐานเศรษฐกิจปี 51 จะขยายตัวร้อยละ 5 อัตราเงินเฟ้อร้อยละ 3 โดยเชื่อว่าการขยายตัวด้านการลงทุนของภาคเอกชนจะเป็นแรงกระตุ้น
ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากการทยอยลดอัตราดอกเบี้ยในปี 50 รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงจากแนวโน้มราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง นอกจากนี้
การบริหารจัดการประเทศในปี 51 จะมีการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและการบริหารการคลังแบบยั่งยืนมาเป็นหลักในการพัฒนาและบริหาร
ประเทศ ทั้งนี้ งปม.รายจ่ายปี 51 จะเป็นรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ 51,747 ล้านบาท และเป็นรายจ่ายด้านลงทุน 416,925 ล้านบาท
คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 25.5 ของเงิน งปม. รวมเพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่อยู่ระดับร้อยละ 24 นอกจากนี้ รัฐบาลจะยังมุ่งเน้นใช้ งปม. เพื่อควบคุม
อัตราการขยายตัวของรายจ่ายประจำให้เพิ่มขึ้นอย่างเหมาะสม การใช้งบลงทุนที่เพิ่มขึ้นจากปี งปม.50 และส่งเสริมการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น
โดยเร่งรัดการถ่ายโอนภารกิจให้แก่ท้องถิ่นเร็วขึ้น สำหรับแนวทางการจัดทำ งปม.ปี 51 มีเป้าหมายจะควบคุมสัดส่วนหนี้สาธารณะคงค้างต่อ
จีดีพีไม่ให้เกินร้อยละ 50 และสัดส่วนภาระหนี้ต่อ งปม.รายจ่ายไม่เกินร้อยละ 15 (โพสต์ทูเดย์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คาดว่าดัชนีอุตสาหกรรมการผลิตของ สรอ.ในเดือน ก.พ.50 จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 50.0 รายงานจากนิวยอร์ก เมื่อ
27 ก.พ.50 ผลสำรวจของนักเศรษฐศาสตร์ 81 คนโดยรอยเตอร์คาดการณ์ว่า ดัชนีอุตสาหกรรมการผลิตของ สรอ.ในเดือน ก.พ.50 จะ
เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 50.0 ซึ่งเป็นระดับที่อยู่ในช่วงกลางพอดีอันแสดงถึงว่าไม่มีการขยายตัวหรือหดตัว หลังจากที่อยู่ที่ระดับ 49.3 ในเดือน
ม.ค.50 ซึ่งหากดัชนีดังกล่าวอยู่เหนือกว่าระดับ 50 บ่งชี้ว่าขยายตัว และหากต่ำกว่าระดับ 50 แสดงถึงการหดตัว ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า
การที่ตัวเลขดัชนีดังกล่าวหดตัวลงในเดือน ม.ค.50 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากผู้ประกอบการสะสมสินค้าคงคลังมากเกินไป รวมทั้งการที่ตลาดที่อยู่
อาศัยและตลาดรถยนต์ชะลอตัว อันจะส่งผลกระทบต่อเนื่องมาจนถึงเดือน ก.พ.50 ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าดัชนีดังกล่าวจะอยู่ในช่วงระหว่าง
48.0 — 52.0 อนึ่ง The Institute for Supply Management (ISM) จะรายงานตัวเลขดังกล่าวอย่างเป็นทางการในวันพฤหัสบดีที่
1 มี.ค.50 นี้ เวลา 10.00 น.ตามเวลาท้องถิ่นในภาคตะวันออกของ สรอ. (รอยเตอร์)
2. ในเดือน ม.ค. ปริมาณเงินหมุนเวียน M3 ของยูโรโซนขยายตัวอย่างรวดเร็วที่สุดในรอบเกือบ 17 ปี รายงานจาก
Frankfurt เมื่อวันที่ 27 ก.พ. 50 ทางการยุโรปเปิดเผยว่า ในเดือนม.ค. ปริมาณเงิน M3 ซึ่งเป็นปริมาณเงินที่รวมทั้งเงินสด เงินฝาก
ระยะสั้นที่ธพ. และตราสารอื่นๆในตลาดเงิน เติบโตร้อยละ 9.8 จากช่วงเดียวกันปีก่อน ขยายตัวอย่างรวดเร็วที่สุดในรอบเกือบ 17 ปีนับ
ตั้งแต่เดือน ก.พ. 33 สอดคล้องกับตัวเลขที่ปรับใหม่ของเดือน ธ.ค. ขณะเดียวกันข้อมูลของทางการบ่งชี้ว่าธุรกิจกู้ยืมทำสถิติสูงสุดใหม่ ซึ่ง
นักวิเคราะห์หลายคนกล่าวว่าอาจสะท้อนว่าการลงทุนเพิ่มขึ้น และมีการควบรวมกิจการกันมากขึ้น ทั้งนี้จากสภาพคล่องส่วนเกินดังกล่าว ทำให้
ธ.กลางยุโรปวิตกว่าภาวะเงินเฟ้อว่าจะเพิ่มขึ้น จึงทำให้คาดว่าธ.กลางจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้ง ทั้งนี้ในรอบ 15 เดือนที่ผ่านมา
ธ.กลางยุโรปได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยมาแล้วรวมร้อยละ 1.50 และคาดว่าจะมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นร้อยละ 3.75 ในการ
ประชุมนโยบายการเงินในสัปดาห์หน้า นับเป็นการปรับเพิ่มเป็นครั้งที่ 7 และจะมีการปรับเพิ่มขึ้นอีกในระยะ 2 — 3 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้นาย
Howard Archer นักเศรษฐศาสตร์จาก Global Insight เห็นว่าภาวะเงินเฟ้อจะลดลงหากธ.กลางยุโรปปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายถึง
ร้อยละ 4.0 (รอยเตอร์)
3. อัตราเงินเฟ้อของเยอรมนีในเดือน ก.พ.50 อยู่ในระดับคงที่เท่ากับเดือน ม.ค.50 รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 27 ก.พ.50
สนง.สถิติกลางของเยอรมนีรายงานตัวเลขเบื้องต้นดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือน ก.พ.50 คงที่อยู่ที่ร้อยละ 1.6 ต่อปี (CPI) และร้อยละ 1.8
ต่อปีเมื่อคำนวณตามแบบสหภาพยุโรปหรือ HICP ต่ำกว่าที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 ต่อปี (CPI) และร้อยละ 1.9 ต่อปี (HICP)
ตามลำดับ โดยตัวเลขจากทั้ง 6 รัฐของเยอรมนีแสดงให้เห็นว่าราคาน้ำมันและแพ็กเก็จท่องเที่ยวในวันหยุดมีส่วนทำให้อัตราเงินเฟ้อในเดือน
ก.พ.50 สูงขึ้นร้อยละ 0.4 ต่อปี ทั้งนี้ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของเยอรมนีซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดใน Euro zone ชี้แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของ
Euro zone ในเดือน ก.พ.50 ว่าอาจคงที่อยู่ที่ร้อยละ 1.9 ต่อปีหรือชะลอตัวลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.8 ต่อปี อัตราเงินเฟ้อของเยอรมนีที่เพิ่มขึ้นต่ำ
กว่าที่คาดไว้ แม้ว่าอัตราภาษีที่เรียกเก็บจากผู้บริโภคหรือ VAT เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 เป็นร้อยละ 19.0 ตั้งแต่ต้นปี 50 ที่ผ่านมาแล้วก็ตาม
แสดงให้เห็นว่าผู้ค้าปลีกสามารถรองรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ แต่อย่างไรก็ดี แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อของเยอรมนีจะเพิ่มขึ้นต่ำกว่าที่คาดไว้เป็นเดือนที่
3 ติดต่อกันแล้วก็ตาม แต่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า ธ.กลางยุโรปหรือ ECB จะยังขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือน มี.ค.50 ที่จะถึงนี้
และอีกครั้งในเดือน มิ.ย.50 ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 4.0 ต่อปี ทั้งนี้ สนง.สถิติกลางของเยอรมนีมีกำหนดรายงานดัชนี
ราคาผู้บริโภคอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 มี.ค.50 นี้ (รอยเตอร์)
4. Business receipts index ของสิงคโปร์ขยายตัวร้อยละ 4.4 ในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 49 รายงานจากสิงคโปร์เมื่อ
27 ก.พ.50 The Department of Statistics เปิดเผยว่า Business receipts index ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดรายได้จากธุรกิจภาคบริการ
ของสิงคโปร์ในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 49 ขยายตัวร้อยละ 4.4 เทียบต่อปี ขยายตัวสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรกของปี 49 เป็นผลจากการเติบโต
ของธุรกิจไปรษณีย์-การสื่อสาร ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์-บริการให้เช่า และธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นว่าการเติบโต
ของภาคบริการสิงคโปร์จะสามารถชดเชยภาวะชะลอตัวของภาคอุตสาหกรรมและการส่งออก โดยเฉพาะการส่งออกไปยัง สรอ.ซึ่งเป็นตลาดใหญ่
ที่สุดสำหรับสินค้าส่งออกหลักของสิงคโปร์ อาทิเช่น สินค้าไฮเทคและเภสัชภัณฑ์ ขณะที่เมื่อเทียบต่อไตรมาส ดัชนีขยายตัวร้อยละ 9.9 เติบโตขึ้น
อย่างมากเมื่อเทียบกับ 2 ไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 2.6 และ 2.1 ตามลำดับ สำหรับดัชนีเมื่อไม่รวมธุรกิจบริการทางการเงินและ
ประกันภัย ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 1 ใน 5 ของดัชนี ขยายตัวร้อยละ 5.8 เทียบต่อปี ทั้งนี้ ภาคบริการของสิงคโปร์ซึ่งมีสัดส่วนเป็นกว่าร้อยละ 60
ของจีดีพี และมีรายได้เป็นสัดส่วนครึ่งหนึ่งของการจ้างงาน มีการขยายตัวต่อเนื่องมาเป็นเวลา 14 ไตรมาส โดยในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 49
ภาคบริการของสิงคโปร์ขยายตัวร้อยละ 6.6 เทียบต่อปี เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการขยายตัวร้อยละ 6.3 ในช่วงไตรมาสก่อนหน้า นับเป็นปัจจัย
สนับสนุนให้ทางการสิงคโปร์ปรับเพิ่มประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 50 เป็นร้อยละ 4.5-6.5 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 28 ก.พ. 50 27 ก.พ. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 35.567 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 35.3777/35.7032 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.79969 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 683.95/10.87 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 11,150/11,250 11,400/11,500 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 57.15 58.51 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 25.99*/22.94** 25.99*/22.94** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 24ก.พ. 50
** ปรับลดลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 21 ก.พ. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--