ผลกระทบของลักษณะอากาศต่อการเกษตรตามภาคต่าง ๆ
ระหว่าง 26 กันยายน 2559 - 02 ตุลาคม 2559
ภาคเหนือ
ในช่วงวันที่ 27-28 ก.ย. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60-70 ของพื้นที่ ส่วนในช่วงวันที่ 29 ก.ย. - 2 ต.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70-80 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 21-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม. /ชม.
- พืชผัก ฝนตกต่อเนื่อง: ควรระวังป้องกันโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เช่น โรคราน้ำค้าง โรคใบจุดและโรครากเน่า เป็นต้น
- กาแฟ ฝนตกต่อเนื่อง: ควรระวังป้องกันการเกิดโรคที่เกิดจากเชื้อรา เช่น โรคเน่าดำ โดยเฉพาะในแปลงปลูกที่มีร่มเงาค่อนข้างทึบ แสงแดดส่องไม่ถึง
- สัตว์เลี้ยง ฝนตกต่อเนื่อง : ควรระวังป้องกันการระบาดของโรคปากและเท้าเปื่อยในสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ สุกร แพะ และแกะ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ในช่วงวันที่ 27-28 ก.ย. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ ส่วนในช่วงวันที่ 29 ก.ย.-2 ต.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70-80 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม. /ชม.
- ข้าว สภาพอากาศชื้น : ควรระวังป้องกันการระบาดของโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เช่น โรคไหม้ และโรคใบจุดสีน้ำตาล เป็นต้น
- สัตว์เลี้ยง ฝนตกต่อเนื่อง : ควรระวังป้องกันการระบาดของโรคปากและเท้าเปื่อยในสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ สุกร แพะ และแกะ
- พืชไร่ ฝนตกต่อเนื่อง อากาศชื้น : ควรระวังป้องกันการระบาดของโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เช่น โรคราน้ำค้างและโรคใบไหม้ในข้าวโพด โรคใบจุดสีน้ำตาลในถั่วลิสง และโรคเหี่ยวเน่าแดงในอ้อย เป็นต้น
ภาคกลาง
ในช่วงวันที่ 27-28 ก.ย. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60-70 ของพื้นที่ ส่วนในช่วงวันที่ 29 ก.ย.-2 ต.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70-80 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักถึงหนักมาก บางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม. /ชม.
- ข้าวนาปี ฝนตกต่อเนื่อง อากาศชื้น : ควรระวังป้องกันการระบาดของโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เช่น โรคไหม้ และโรคใบจุด สีน้ำตาล เป็นต้น
- ไม้ผล สภาพอากาศชื้น : ควรระวังป้องกันการระบาดของโรคพืช ที่เกิดจากเชื้อรา เช่น โรครากเน่าโคนเน่าในพืชตระกูลส้มและโรคแอนแทรกโนสในฝรั่ง เป็นต้น
- ปลาในกระชัง ฝนตกต่อเนื่อง : สภาพน้ำเปลี่ยนแปลง จะทำให้ปลาอ่อนแอ และเป็นโรคได้ง่าย
ภาคตะวันออก
ในช่วงวันที่ 26-27 ก.ย. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60-70 ของพื้นที่ ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1- 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 28 ก.ย. -2 ต.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70-80 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองทะเลมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส
- ปลาในกระชัง ฝนตกต่อเนื่อง : สภาพน้ำเปลี่ยนแปลง จะทำให้ปลาอ่อนแอ และเป็นโรคได้ง่าย
- ยางพารา ฝนตกต่อเนื่อง :โรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เช่น โรคเส้นดำ และโรคใบยางร่วงลูกยางเน่า เป็นต้น
- พืชไร่ สภาพอากาศชื้นสูง : ควรป้องกันการระบาดของโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เช่น โรคแอนแทรกโนสในมันสำปะหลังและโรคแส้ดำในอ้อย เป็นต้น
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)
ในช่วงวันที่ 26-27 ก.ย. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม. /ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 28 ก.ย. -2 ต.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60-70 ของพื้นที่ ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม. /ชม. อุณหภูมิต่ำสุด 21-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส
- ยางพาราฝนที่ตกติดต่อกัน ชาวสวนยางพาราควรระวังและป้องกันโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เช่น โรค ใบยางร่วงลูกยางเน่า โรคเส้นดำ และโรคราสีชมพู เป็นต้น
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)
ในช่วงวันที่ 26-27 ก.ย. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองทะเลมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 28 ก.ย. -2 ต.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60-80 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-40 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองทะเลมีคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส
- ยางพารา ฝนที่ตกติดต่อกัน ชาวสวนยางพาราควรระวังและป้องกันโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เช่น โรค ใบยางร่วงลูกยางเน่า โรคเส้นดำ และโรคราสีชมพู เป็นต้น
- ประมงชายฝั่ง ในช่วงวันที่ 28 ก.ย. -2 ต.ค. คลื่นลมมีกำลังแรงขึ้น ผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งบริเวณทะเลอันดามัน ควรระวังความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
รายงานสถานการณ์สมดุลน้ำใน 7 วันที่ผ่านมา และการคาดการณ์ผลกระทบต่อการเกษตร ในระยะ 7 วันข้างหน้า
ปริมาณฝนสะสมเดือนกันยายน (วันที่ 1 – 25 ก.ย.) ระยะที่ผ่านมาบริเวณประเทศไทยส่วนใหญ่มีปริมาณฝนสะสมอยู่ระหว่าง 100-300 มม. เว้นแต่บางพื้นที่บริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันตก และภาคตะวันออก มีฝนสะสมเกิน 300 มม. ส่วนบริเวณที่มีปริมาณฝนสะสม ต่ำกว่า 50 มม. คือ บางพื้นที่ของภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนล่าง
ปริมาณฝนสะสม 7 วันที่ผ่านมา สัปดาห์ที่ผ่านมาบริเวณประเทศไทยส่วนใหญ่มีปริมาณฝนสะสมอยู่ระหว่าง 20-100 มม. เว้นแต่ภาคกลาง บางพื้นที่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนสะสมเกิน 100 มม. ส่วนภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนล่างมีฝนสะสมน้อยกว่า 20 มม.
ศักย์การคายระเหยน้ำ สัปดาห์ที่ผ่านมาบริเวณประเทศไทยส่วนใหญ่มีค่าศักย์การคายระเหยน้ำสะสมอยู่ระหว่าง 20-25 มม.เว้นแต่บางพื้นที่ของภาคเหนือตอนบน และภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนล่างมีค่าศักย์การคายระเหยน้ำสะสมอยู่ระหว่าง 25-30 มม.
สมดุลน้ำ สัปดาห์ที่ผ่านมาค่าสมดุลน้ำส่วนใหญ่เป็นบวกอยู่ระหว่าง 1-100 มม. เว้นแต่บางพื้นที่บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ค่าสมดุลน้ำเกิน 100 มม. ส่วนบริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนล่างมีค่าสมดุลน้ำเป็นลบอยู่ระหว่าง (-10)-(-30) มม.
คำแนะนำ ในช่วง 7 วันที่ผ่านมาบริเวณประเทศไทยส่วนใหญ่สมดุลน้ำมีค่าเป็นบวก และในช่วง 7 วันข้างหน้ายังคงมีฝนต่อไปอีก ซึ่งจะเป็นผลดีแก่พืชที่อยู่ในระยะเจริญเติบโต แต่เกษตรกรควรระวังป้องกันการระบาดของโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา ส่วนพื้นที่ซึ่งมีน้ำท่วมในระยะที่ผ่านมา หากระดับน้ำลดลงแล้ว เกษตรกรควรรีบระบายน้ำออก อย่าให้น้ำขังในแปลงปลูกนาน เพราะจะ ทำให้รากพืชเน่า ต้นพืชตายได้ ส่วนพื้นที่การเกษตรที่อยู่ในที่ลุ่ม เกษตรกรควรจัดระบบระบายน้ำในแปลงปลูกให้มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันน้ำท่วมขังเมื่อมีฝนตกหนัก
หมายเหตุ สำหรับแผนที่แสดงสมดุลน้ำสามารถดาวโหลดได้ตามลิงค์นี้ http://www.arcims.tmd.go.th/dailydata/PET7day.php
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุตุนิยมวิทยา 0-2399-4568-74