พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตรระหว่าง 26 ตุลาคม 2559 - 01 พฤศจิกายน 2559

ข่าวทั่วไป Wednesday October 26, 2016 16:31 —กรมอุตุนิยมวิทยา

ผลกระทบของลักษณะอากาศต่อการเกษตรตามภาคต่าง ๆ

ระหว่าง 26 ตุลาคม 2559 - 01 พฤศจิกายน 2559

ภาคเหนือ

ในช่วงวันที่ 26-27 ต.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 21-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม. /ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 28 ต.ค. -1 พ.ย. มีอากาศเย็นในตอนเช้าและมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10-30 ของพื้นที่ ส่วนมากทางตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 18-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-30 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม. /ชม.

  • สัตว์เลี้ยง ระยะนี้อากาศเปลี่ยนแปลงโดยจะมีฝนตกในระยะแรก หลังจากนั้นอุณหภูมิจะลดลง ทำให้มีอากาศเย็นในตอนเช้า ผู้เลี้ยงสัตว์โดยเฉพาะทางตอนบนของภาคควรป้องกันการเจ็บป่วยของสัตว์ เช่น โรคคอบวมในโค-กระบือ และโรคหวัดในสัตว์ปีก และควรหมั่นสังเกต หากพบสัตว์ป่วยควรแยกออกจากกลุ่ม และรีบรักษา
          - พืชไร่ ระยะนี้ปริมาณฝนจะลดลง และมีอุณหภูมิลดลง ประกอบกับจะมีแสงแดดจัดในตอนกลางวัน ซึ่งเป็นผลดีต่อพืชไร่ที่อยู่ในระยะแก่ถึงเก็บเกี่ยว ส่วนผู้ที่ต้องการปลูกพืชไร่หลังจาก เก็บเกี่ยว- ---          - ข้าวนาปีแล้ว ควรปลูกในช่วงที่ดินยังมีความชื้นเหมาะสม และหากปลูกล่าช้า เช่น เริ่มปลูกในช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม อาจประสบปัญหาพืชงอกช้าและชะงักการเจริญเติบโต เนื่องจากอุณหภูมิไม่เหมาะสมกับการเจริญเติบโต

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ในช่วงวันที่ 26-27 ต.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม. /ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 28 ต.ค. -1 พ.ย. มีอากาศเย็นในตอนเช้าและมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10-20 ของพื้นที่ ส่วนมากทางตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 21-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-30 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม. /ชม.

  • สัตว์เลี้ยงในช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลง ผู้เลี้ยงสัตว์ทางตอนบนของภาค ควรป้องกันการเจ็บป่วยของสัตว์โดยเฉพาะโรคคอบวม ในโค-กระบือ และโรคหวัดในสัตว์ปีก และควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคให้กับสัตว์เลี้ยง
  • พืชไร่ ระยะนี้ปริมาณฝนจะลดลง ประกอบกับจะมีแสงแดดจัด ในตอนกลางวันซึ่งเป็นผลดีต่อพืชไร่ที่อยู่ในระยะแก่ถึง เก็บเกี่ยว ส่วนผู้ที่ต้องการปลูกพืชหลักจากเก็บเกี่ยวข้าวนาปีแล้ว ควรปลูกในช่วงที่ดินยังมีความชื้นเหมาะสม และหากปลูกล่าช้า เช่น เริ่มปลูกในช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม อาจประสบปัญหาพืชงอกช้าและชะงักการเจริญเติบโต เนื่องจากอุณหภูมิไม่เหมาะสมกับการเจริญเติบโต

ภาคกลาง

ในช่วงวันที่ 26-27 ต.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60-70 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ส่วนในช่วงวันที่ 28 ต.ค.-1 พ.ย. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 20-40 ของพื้นที่ ส่วนมากทางตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 21-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส ลมแปรปรวน ความเร็ว 15-30 กม. /ชม.

  • ข้าวนาปี เนื่องจากระยะนี้ปริมาณลดลง โดยเฉพาะด้านตะวันตกของภาค ซึ่งจะเป็นผลดีกับข้าวที่อยู่ในระยะรวงแก่ถึงเก็บเกี่ยว ส่วนชาวนาที่ต้องการจะปลูกข้าวรอบใหม่ควรอยู่ในเขตชลประทาน หากอยู่นอกเขตชลประทานควรเปลี่ยนไปปลูกพืชอายุสั้นและใช้น้ำน้อยแทน
  • พืชผัก แม้ระยะนี้ปริมาณฝนจะลดลง แต่สภาพอากาศยังคงมีความชื้นสูงโดยเฉพาะในตอนเช้า เกษตรกรที่ปลูกผักควรระวังและป้องกันการระบาดของโรคพืชที่เกิดจากเชื้อราและศัตรูพืช เช่น โรคราน้ำค้าง และหนอนใยผัก เป็นต้น

ภาคตะวันออก

ในช่วงวันที่ 26-27 ต.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60-70 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนในช่วงวันที่ 28 ต.ค.-1 พ.ย. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง ในช่วงวันที่ 25-30 ต.ค.ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส

  • พื้นที่การเกษตร พื้นที่ทางตอนบนของภาคเกษตรกรควรกักเก็บน้ำเอาไว้ใช้ทางด้านการเกษตรในช่วงที่มีฝนตกน้อย ส่วนพื้นที่การเกษตรที่เป็นที่ลุ่ม เกษตรกรควรจัดระบบระบายน้ำในแปลงปลูกให้มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันน้ำท่วมขังเมื่อมีฝนตกหนัก
  • ยางพารา ระยะนี้ทางตอนล่างของภาคยังคงมีฝนตกหนัก ชาวสวนควรดูแลสวนให้โปร่งอากาศถ่ายเทได้สะดวก เพื่อลดความชื้นสะสมภายในสวน ป้องกันโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เช่น โรคใบยางร่วงลูกยางเน่า และโรคหน้ากรีดยาง เป็นต้น

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)

ในช่วงวันที่ 26-27 ต.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60-70 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนในช่วงวันที่ 28 ต.ค. - 1 พ.ย. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง ลมแปรปรวน ความเร็ว 15-35 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองทะเลมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส

  • พื้นที่การเกษตร ปริมาณและการกระจายของฝนจะเพิ่มขึ้น พื้นที่การเกษตรที่เป็นที่ลุ่ม เกษตรกรควรจัดระบบระบายน้ำให้มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันน้ำท่วมขังเมื่อมีฝนตกหนัก
  • ยางพารา ดินและอากาศมีความชื้นสูง ชาวสวนควรระวังและป้องกันโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เช่น โรคใบยางร่วงลูกยางเน่า โรคเส้นดำ และโรคราสีชมพู เป็นต้น โดยดูแลสวนให้โปร่ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก เพื่อลดความชื้นสะสมภายในสวน
  • ชาวเรือและชาวประมง บริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองทะเลมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ชาวเรือควรควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง

ปริมาณฝนสะสมเดือนตุลาคม(1-25) พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศไทยมีปริมาณฝนตกสะสม 100-300 ม. ยกเว้นบริเวณ จังหวัดน่าน เพชรบรูณ์ เลย และภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้านตะวันออกมีปริมาณฝนตกสะสมลดลงจากเดือนที่แล้ว โดยปริมาณฝนสะสม 50-100 มม. ส่วนบริเวณที่มีฝนสะสมมากกว่า 300 มม. ได้แก่ บริเวณจังหวัดจันทบุรี ตราด ระนอง พังงา และสุราษฎร์ธานี

ปริมาณฝนสะสม 7 วันที่ผ่านมา ประเทศไทยมีฝนตกเกือบทั่วไป ส่วนใหญ่มีปริมาณฝนสะสมน้อยกว่า 40 มม. เว้นแต่างพื้นที่ของจังหวัดนครสวรรค์ หนองคาย กรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่มีฝนสะสม 40-100 มม. ส่วนบริเวณภาคตะวันออกและภาคใต้ฝั่งตะวันตกมีฝนตกหนัก ซึ่งปริมาณฝนสะสม >100 มม..

ศักย์การคายระเหยน้ำ ในช่วง 7 วันที่ผ่านมาบริเวณประเทศไทยตอนบนมีค่าศักย์การคายระเหยน้ำสะสมตั่งแต่ 20-30 มม.

สมดุลน้ำ ในช่วง 7 วันที่ผ่านมามีฝนตกหนักบางพื้นที่ ทำให้บางพื้นที่ค่าสมดุลน้ำเป็นบวก เช่น บางพื้นที่บริเวณจังหวัดพะเยา ลำปางแพร่ นครสวรรค์ หนองคาย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออกและภาคใต้ แต่บางพื้นที่ซึ่งมีฝนตกน้อยในระยะที่ผ่านมามีค่าสมดุลน้ำยังคงเป็นลบ เช่น บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และบางพื้นที่ของภาคกลางและภาคตะวันออก

คำแนะนำ ในช่วง 7 วันที่ผ่านมาแม้มีฝนตก ทำให้มีค่าสมดุลน้ำเป็นบวกฝนหลายพื้นที่บริเวณประเทศไทยตอนบน ซึ่งมีฝนตกน้อยทำให้ค่าสมดุลน้ำยังคงเป็นลบ และในช่วง7 วันข้างห้ายังคงมีฝนตกในระยะแรกของช่วงต่อจากนั้นปริมาณฝนจะลดลเกษตรกรปลูกพืช เช่น ข้าวนาปี พืชไร่ และผักชนิดต่างๆ ควรดูแลให้น้ำแก่พืชเพิ่มเติมตามความเหมาะสม เพื่อป้องกันพืชชะงักการเจริญเติบโตซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลผลิตในระยะต่อไปและควรกักเก็บน้ำไว้ใช้ในด้สนการเกษตรในช่วงที่ฝนน้อย ส่วนภาคตะวันออกแลละภาคใต้ยังคงมีฝนตกต่อเนื่องซึ่งจะเป็นผลดีต่อพืช แต่พื้นที่ลุ่มบริเวณจังหวัดจันทบุรี ตราด ระยอง ระนอง พังงา กระบี่และสุราษฎร์ธานี ควรจัดระบบระบายน้ำให้มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันน้ำท่วมขังบริเวณแปลงปลูกเมื่อมีฝนตกหนัก

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุตุนิยมวิทยา 0-2399-4568-74


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ