พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตรระหว่าง 07 ธันวาคม 2559 - 13 ธันวาคม 2559

ข่าวทั่วไป Wednesday December 7, 2016 15:39 —กรมอุตุนิยมวิทยา

ผลกระทบของลักษณะอากาศต่อการเกษตรตามภาคต่าง ๆ

ระหว่าง 07 ธันวาคม 2559 - 13 ธันวาคม 2559

ภาคเหนือ

ในช่วงวันที่ 7-13 ธ.ค. อากาศเย็นถึงหนาวกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิจะลดลงอีก 2-3 องศาเซลเซียส ตอนบนของภาคอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 14-18 องศาเซลเซียส ตอนล่างของภาคอากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 18-21 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-32 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 6-10 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม. /ชม.

  • เกษตรกร ช่วงนี้มีอากาศหนาวเย็นโดยทั่วไป ส่วนยอดดอยมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด เกษตรกรควรเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ตนเอง และสัตว์เลี้ยงอย่างเพียงพอ เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย และควรดับไฟให้สนิททุกครั้งหลังจากจุดไฟเพื่อให้ความอบอุ่น
  • ไม้ผล อากาศเย็นกับมีหมอกและน้ำค้างในตอนเช้า เกษตรกรควรระวังและป้องกันการระบาดของโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เช่นโรคราน้ำค้างในองุ่น ราดำในมะม่วง และโรคฝักเน่าในมะขามหวาน เป็นต้น
  • สัตว์เลี้ยง สภาพอากาศหนาวเย็น ผู้ที่เลี้ยงสัตว์ควรเพิ่มความอบอุ่นภายในโรงเรือนให้แก่สัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะสัตว์ที่ยังเล็ก เพื่อป้องกันสัตว์หนาวเย็น จนอ่อนแอ และเป็นโรคได้ง่าย

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ในช่วงวันที่ 7-13 ธ.ค. อากาศเย็นถึงหนาวกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิจะลดลงอีก 1-2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 15-20 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-32 องศาเซลเซียส บริเวณยอดภูอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 7-11 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม. /ชม.

  • พื้นที่การเกษตร ระยะนี้มีอากาศแห้งและลมแรง ทำให้น้ำระเหยจากพื้นดินและต้นพืชมาก เกษตรกรที่ปลูกพืช เช่น ไม้ดอกไม้ประดับ พืชผักและพืชไร่ชนิดต่างๆ ควรจัดหาน้ำให้แก่พืชเพิ่มเติม และคลุมดินบริเวณแปลงปลูกพืชด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ใบไม้ ฟางข้าว และหญ้าแห้ง เป็นต้น เพื่อลดการระเหยน้ำ และรักษาความชื้นภายในดิน รวมทั้งระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกเพลี้ยและไรชนิดต่างๆด้วย
  • สัตว์น้ำ ช่วงที่มีอุณหภูมิลดลงส่งผลให้อุณหภูมิน้ำเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำควรเปิดเครื่องตีน้ำเพื่อปรับอุณหภูมิน้ำและเป็นการเพิ่มออกซิเจน รวมทั้งลดอาหารให้น้อยลง เพราะสัตว์น้ำจะกินอาหารได้น้อย อาหารที่เหลือจะทำให้ น้ำเน่าเสียได้ ส่งผลให้ปลาอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย

ภาคกลาง

ในช่วงวันที่ 7-13 ธ.ค. อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิจะลดลงอีก 1-3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 19-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม. /ชม.

  • พื้นที่การเกษตร สภาพอากาศแห้งและแดดจัด ทำให้น้ำระเหยจากดินและพืชได้มาก เกษตรกรควรดูแลให้น้ำแก่พืชไร่ พืชผัก และไม้ดอก ที่กำลังเจริญเติบโตอย่างเพียงพอ หากขาดน้ำจะทำให้พืชชะงักการเจริญเติบโต รวมทั้งระวังป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกปากดูด ซึ่งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะดูดกินน้ำเลี้ยง ทำให้พืชชะงักการเจริญเติบโต ผลผลิตเสียหายได้
  • ไม้ผล สำหรับไม้ผลที่ออกดอกแล้ว เช่น มะม่วง ชาวสวนควรให้น้ำแก่พืช โดยเริ่มจากปริมาณน้อยๆแล้วค่อยเพิ่มปริมาณขึ้น นอกจากนี้ควรระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกปากดูด เช่น เพลี้ยและไรชนิดต่างๆ ซึ่งจะดูดกินน้ำเลี้ยงทำให้ดอกร่วงหล่น การติดผลลดลง

ภาคตะวันออก ในช่วงวันที่ 7-13 ธ.ค. อากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิจะลดลงเล็กน้อย อุณหภูมิต่ำสุด 20-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร

  • พื้นที่การเกษตร สภาพอากาศแห้งและแดดจัด ทำให้น้ำระเหยจากดินและพืชได้มาก เกษตรกรควรคลุมดินบริเวณโคนต้นพืชด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ใบไม้ ฟางข้าว และหญ้าแห้ง เป็นต้น เพื่อลดการระเหยของน้ำและรักษาความชื้นในดิน รวมทั้งระวังและป้องกันศัตรูพืชจำพวกปากดูด เช่นเพลี้ยและไร ชนิดต่างๆ ในพืชไร่ ไม้ผล และพืชผัก เป็นต้น ซึ่งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะดูดกินน้ำเลี้ยง ทำให้พืชชะงักการเจริญเติบโต ผลผลิตด้อยคุณภาพ
  • ผลผลิตทางการเกษตร สำหรับผู้ที่ต้องการปลูกพืชในระยะนี้ควรเลือกปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อย อายุการเก็บเกี่ยวสั้น และวางแผนการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)

ในช่วงวันที่ 7-13 ธ.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ ตลอดสัปดาห์ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนมากตั้งแต่จังหวัดสุราษฏร์ธานี ลงไป ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-32 องศาเซลเซียส

  • พื้นที่การ เกษตร ระยะนี้ภาคใต้มีปริมาณฝนลดลง พื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมในระยะที่ผ่านมาหากระดับน้ำเริ่มลดลงแล้ว เกษตรกรควรรีบระบายน้ำออกจากแปลงปลูก และพื้นฟูสภาพสวนให้ดีดังเดิม
  • ยางพารา/ ไม้ผล/ กาแฟ สภาพอากาศมีความชื้นสูง ชาวสวนยางพารา ไม้ผล และกาแฟ ควรระวังและป้องกันโรคที่เกิดจากเชื้อรา ซึ่งจะทำให้ต้นพืชเสียหาย ผลผลิตลดลง โดยหมั่นกำจัดวัชพืชภายในสวนให้โล่งเตียน เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก ลดความชื้นภายในสวน
  • ประมงชายฝั่ง ระยะนี้ ภาคใต้ฝั่งตะวันออกจะมีคลื่นลมปานกลาง โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ชาวเรือและชาวประมงควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)

ในช่วงวันที่ 7-13 ธ.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 20-40 ของพื้นที่ ตลอดสัปดาห์ ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ห่างฝั่งทะเลมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-30 องศาเซลเซียส

  • พื้นที่การ เกษตร ระยะนี้ภาคใต้มีปริมาณฝนลดลง พื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมในระยะที่ผ่านมาหากระดับน้ำเริ่มลดลงแล้ว เกษตรกรควรรีบระบายน้ำออกจากแปลงปลูก และพื้นฟูสภาพสวนให้ดีดังเดิม
  • ยางพารา/ ไม้ผล/ กาแฟ สภาพอากาศมีความชื้นสูง ชาวสวนยางพารา ไม้ผล และกาแฟ ควรระวังและป้องกันโรคที่เกิดจากเชื้อรา ซึ่งจะทำให้ต้นพืชเสียหาย ผลผลิตลดลง โดยหมั่นกำจัดวัชพืชภายในสวนให้โล่งเตียน เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก ลดความชื้นภายในสวน

รายงานสถานการณ์สมดุลน้ำใน 7 วันที่ผ่านมา และการคาดการณ์ผลกระทบต่อการเกษตรในวันที่ 7 - 13 ธันวาคม 2559

ปริมาณฝนสะสมเดือนธันวาคม( 1-6 ธ.ค.) ช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยตอนบนมีฝนตกเล็กน้อยบริเวณจังหวัดอุบลราชธานี ส่วนบริเวณอื่นๆ ไม่มีรายงานฝนตก สำหรับภาคใต้มีฝนตกต่อเนื่องโดยมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ ซึ่งมีฝนตกสะสมสูงสุด ประมาณ 600-800 มม. บริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุงและสงขลา ส่วนบริเวณอื่นๆมีปริมาณฝนสะสมอยู่ในช่วง50-400 มม.

ปริมาณฝนสะสม 7 วันที่ผ่านมา ช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยตอนบนมีฝนตกเล็กน้อยบริเวณจังหวัดอุบลราชธานีและระยอง ส่วนบริเวณอื่นๆไม่มีรายงานฝนตก สำหรับบริเวณภาคใต้ตกต่อเนื่องโดยมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ ซึ่งมีฝนสะสมสูงสุดประมาณ 600-800 มม. บริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุงและสงขลา ส่วนบริเวณอื่นๆมีปริมาณฝนสะสมอยู่ในช่วง50-400 มม.

ศักย์การคายระเหยน้ำ ระยะที่ผ่านมาศักย์การคายระเหยน้ำประเทศไทยมีค่าระหว่าง 10-20 มม.ยกเว้นบริเวณบางส่วนของภาคกลางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก มีค่าศักย์การระเหยน้ำสะสม 20-25 มม. ส่วนภาคใต้โดยเฉพาะทางตอนล่างของภาคมีค่าศักย์การคายระเหยน้ำสะสมอยู่ระหว่าง 10-20 มม.

สมดุลน้ำ ระยะที่ผ่านมาค่าสมดุลน้ำบริเวณประเทศไทยตอนบนมีค่าเป็นลบเนื่องจาก บริเวณดังกล่าวไม่มีฝนตก โดยมีค่าสมดุลน้ำสะสมอยู่ระหว่าง(-10)(-30) มม.ส่วนบริเวณภาคใต้ มีค่าสมดุลน้ำเป็นบวกเนื่องจากมีฝนตกหนักต่อเนื่อง โดยเฉพาะทางฝั่งตะวันออกของภาคซึ่งมีค่าสมดุลน้ำเป็นอยู่ระหว่าง 10-600 มม.

คำแนะนำ ในช่วง 7 วันที่ผ่านประเทศไทยตอนบนไม่มีฝนตก ทำให้พื้นที่โดยทั่วไปมีค่าสมดุลน้ำเป็นลบ และในช่วง 7 วันข้างหน้าจะไม่มีฝนตก ดังนั้นเกษตรปลูกพืชผักหรือพืชชนิดอื่นๆ คสรดูแลให้น้ำแก่พืชที่ปลูกเพิ่มเติม สำหรับภาคใต้โดยเฉพาะฝั่งตะวันออกมีฝนตกต่อไปอีก แต่ปริมาณไม่หนาแน่นเหมือนช่วงที่ผ่านมา พื้นที่การเกษตรที่ถูกน้ำท่วม เกษตรกรควรรีบระบายน้ำออกอย่าให้ทีน้ำท่วมขังบริเวณโคนต้นพืชนาน เพราะจะทำให้รากพืชขาดอากาศและเน่า นอกจากนี้ควรระวังและป้องกันการระบาดของโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา ในพืชไร่ ไม่ผลและพืชผักเอาไว้ด้วย

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุตุนิยมวิทยา 0-2399-4568-74


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ