พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตรระหว่าง 16 - 22 มีนาคม พ.ศ. 2561

ข่าวทั่วไป Friday March 16, 2018 16:12 —กรมอุตุนิยมวิทยา

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า

ระหว่างวันที่ 16 - 22 มีนาคม พ.ศ. 2561

ออกประกาศวันศุกร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2561

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ฉบับที่ 33/61

การคาดหมายลักษณะอากาศ ในช่วงวันที่ 16-19 มี.ค.ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนและมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ส่วนในช่วงวันที่ 20-22 มี.ค.ประเทศไทยตอนบนจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และมีลูกเห็บตกบางพื้นที่

คำเตือน ในช่วงวันที่ 20-22 มี.ค. บริเวณประเทศไทยตอนบนจะมีฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง เกษตรกรไม่ควรอยู่ในที่โล่งและปล่อยให้สัตว์เลี้ยงอยู่กลางแจ้ง ขณะฟ้าคะนอง รวมทั้งตวรหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ สิ่งปลูกสร้างที่ไม่แข็งแรง ต้นไม้ใหญ่ และป้ายโฆษณาสูงๆขณะลมแรง นอกจากนี้เกษตรกรควรระวังและป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย

คำแนะนำสำหรับการเกษตร

ภาคเหนือ

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า

ในช่วงวันที่ 16-20 มี.ค. อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน อุณหภูมิต่ำสุด 17-26 องศาเซลเซียสอุณหภูมิสูงสุด 34-39 องศาเซลเซียส ลมใต้ ความเร็ว10-25 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 21-22 มี.ค. มีพายุฝนฟ้าคะนองร้อยละ 20-30 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรง และมีลูกเห็บตกบางพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 16-23องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียสลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 60-70%

ผลกระทบต่อพืช/สัตว์

  • ระยะนี้จะมีอากาศร้อนในตอนกลางวันและมีแดดจัดเกษตรกรควรหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแจ้ง หากมีความจำเป็นต้องทำงานในที่โล่งควรสวมเสื้อผ้าให้มิดชิดเพื่อป้องกันผิวไหม้
เกรียม และควรดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อป้องกันร่างกายขาดน้ำ
  • เนื่องจากในช่วงฤดูร้อนอุณหภูมิจะสูงในตอนกลางวันทำให้น้ำระเหยได้มาก สภาพอากาศแห้ง เกษตรกรควรระวังและป้องกันการเกิดอัคคีภัย โดยทำแนวกันไฟรอบพื้นที่เพาะปลูกโรงเรือนเลี้ยงสัตว์ และโรงเก็บพืชผลทางด้านการเกษตรตลอดจน อาคารบ้านเรือนด้วย

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า

ในช่วงวันที่ 16-19 มี.ค.อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10-20ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียสอุณหภูมิสูงสุด 35-39 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่20-22 มี.ค.มีพายุฝนฟ้าคะนองร้อยละ 40-60 ของพื้นที่กับมีลมกระโชกแรงและมีลูกเห็บตกบางพื้นที่อุณหภูมิต่ำสุด 18-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด29-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือความเร็ว 15-30 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 55-65%

ผลกระทบต่อพืช/สัตว์

  • เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นในตอนกลางวัน เกษตรกรควรลดอุณหภูมิภายในโรงเรือนเลี้ยงสัตว์ โดยดูแลโรงเรือนให้โปร่งอากาศถ่ายเทได้สะดวก และนำวัสดุอุ้มน้ำชุบน้ำแล้วนำไปไว้ในโรงเรือน หรือฉีดน้ำเป็นฝอยบริเวณโรงเรือน หากมีน้ำเพียงพอควรฉีดน้ำบริเวณหลังคาโรงเรือนเลี้ยงสัตว์ รวมทั้งควรเพิ่มน้ำกินสำหรับสัตว์เลี้ยงด้วย
  • ส่วนผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำควรดูแลสภาพน้ำให้เหมาะสมกับชนิดของสัตว์น้ำ ที่เลี้ยง รวมทั้งดูแลจำ นวนสัตว์น้ำ ที่มีอยู่ให้เหมาะสมกับปริมาณน้ำ หากปริมาณน้ำมีน้อยจะทำให้สัตว์น้ำอยู่อย่างแออัดส่งผลให้สัตว์น้ำอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย

-ในช่วงวันที่ 20-22 มี.ค.จะมีฝนฟ้าคะนอง ผลผลิตทางการเกษตรที่แก่ดีแล้ว เกษตรกรควรรีบเก็บเกี่ยวไม่ควรปล่อยทิ้งไว้กลางแจ้ง เพราะจะเปียกชื้นเสียหายได้

ภาคกลาง

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า

ในช่วงวันที่ 16-20 มี.ค. อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 ของพื้นที่อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด35-39 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว10-25 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 21-22 มี.ค. มีพายุฝนฟ้าคะนองร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรง และมีลูกเห็บตกบางพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 22-24องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์60-70%

ผลกระทบต่อพืช/สัตว์

  • เนื่องจากฝนที่ตกและหยุดในระยะนี้ เกษตรกรควรระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกหนอนในพืชไร่ ไม้ผลและพืชผัก ซึ่งศัตรูพืชดังกล่าวจะกัดกินส่วนที่อ่อนของพืชทำให้ต้นพืชชะงักการเจริญเติบโตผลผลิตลดลงและด้อยคุณภาพ
  • สำหรับพื้นที่การเกษตรที่อยู่นอกเขตชลประทาน หากเกษตรกรต้องการปลูกพืชในระยะนี้ ควรมีน้ำสำรองให้แก่พืชในระยะเจริญเติบโต เพื่อป้องกันพืชได้รับน้ำไม่เพียงพอทำให้ต้นชะงักการเจริญเติบโต ผลผลิตลดลง ถ้าขาดน้ำจะทำให้ไม่ได้รับผลผลิตเลย
  • เกษตรกรควรหลีกเลื่ยงการอยู่กลางแจ้ง และไม่ควรปล่อยให้สัตว์เลี้ยงอยู่ในที่โล่งขณะฟ้าคะนอง

ภาคตะวันออก

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า

ในช่วงวันที่ 16-19 มี.ค. อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 ของพื้นที่อุณหภูมิต่ำสุด 23-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด34-38 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว10-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 20-22 มี.ค. มีพายุฝนฟ้าคะนองร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงและมีลูกเห็บตกบางพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตรความชื้นสัมพัทธ์ 65-75%

ผลกระทบต่อพืช/สัตว์

  • ในช่วงวันที่ 20-21 มี.ค. จะมีพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงไม้ผลที่อยู่ในระยะให้ผลผลิต เกษตรกรควรสำรวจวัสดุและอุปกรณ์ที่ผูกยึด และค้ำยันกิ่งและลำต้นของไม้ผลให้อยู่ในสภาพมั่นคงและแข็งแรง เพื่อป้องกันกิ่งฉีกหักต้นโค่นล้ม เมื่อมีลมแรง
  • สำหรับผลผลิตทางการเกษตรที่แก่ดีแล้ว เกษตรกรควรรีบเก็บเกี่ยวไม่ควรปล่อยทิ้งไว้กลางแจ้ง เพราะอาจเปียกชื้นเสียหายได้

ภาคใต้

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า

ฝั่งตะวันออก ในช่วงวันที่ 16-20 มี.ค. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10-20 ของพื้นที่ ลมตะวันออก ความเร็ว15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตรส่วนในช่วงวันที่ 21-22 มี.ค. มีพายุฝนฟ้าคะนองร้อยละ 20-30 ของพื้นที่ ลมตะวันออก ความเร็ว15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 22-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-37 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 70-80%

ฝั่งตะวันตก ในช่วงวันที่ 16-20 มี.ค. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10-20 ของพื้นที่ ลมตะวันออก ความเร็ว10-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 21-22 มี.ค. มีพายุฝนฟ้าคะนองร้อยละ20-30 ของพื้นที่ ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 22-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 65-75%

ผลกระทบต่อพืช/สัตว์

  • สำหรับฝนที่ตกและหยุดสลับกันในระยะนี้ สภาพอากาศเหมาะแก่การระบาดของศัตรูพืชจำพวกหนอน ในพืชไร่ไม้ผล และพืชผักต่างๆ เกษตรกรจึงควรระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืชดังกล่าว ซึ่งจะกัดกินใบและยอดอ่อนของพืชทำให้ต้นชะงักการเจริญเติบโต ผลผลิตลดลงและด้อยคุณภาพ
  • เนื่องจากเป็นช่วงฤดูร้อนอัตราการระเหยของน้ำมีมากทำให้ความชื้นในดินลดลง เกษตรกรจึงควรคลุมดินบริเวณแปลงปลูกพืช และโคนต้นพืชด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อลดการระเหยของน้ำบริเวณผิวดิน รักษาความชื้นภายในดิน
  • ระยะนี้ปริมาณและการกระจายของฝนมีน้อย เกษตรกรควรวางแผนการใช้น้ำที่เก็บกักใว้ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้มีน้ำใช้ในช่วงแล้ง
รายงานสถานการณ์สมดุลน้ำใน 7 วันที่ผ่านมา และการคาดการณ์ผลกระทบต่อการเกษตร ในช่วงวันที่ 16-22 มี.ค. 2561

ปริมาณฝนสะสมเดือนมีนาคม (ในช่วงวันที่ 1-15 มีนาคม) บริเวณประเทศไทยตอนบนมีปริมาณฝนสะสมต่ำกว่า 50 มม.เว้นแต่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออก มีปริมาณฝนสะสมสูงสุด 50-100 มม. สำหรับภาคใต้มีปริมาณฝนสะสมต่ำกว่า 50 มม. เว้นแต่ภาคใต้ตอนบนมีปริมาณฝนสะสมสูงสุด 50-100 มม.

ปริมาณฝนสะสม 7 วันที่ผ่านมา บริเวณประเทศไทยตอนบนมีปริมาณฝนสะสมต่ำกว่า 50 มม. เว้นแต่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนล่าง มีปริมาณฝนสะสมสูงสุด 50-100 มม. สำหรับภาคใต้มีปริมาณฝนสะสมต่ำกว่า 50 มม. เว้นแต่ภาคใต้ตอนบนมีปริมาณฝนสะสมสูงสุด 50-100 มม.

ศักย์การคายระเหยน้ำสะสม บริเวณประเทศไทยส่วนมากมีค่าศักย์การคายระเหยน้ำสะสม 20-35 มม. โดยภาคเหนือตอนล่างภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน และภาคใต้ตอนล่าง มีค่าศักย์การคายระเหยน้ำสะสมมากกว่าบริเวณอื่นๆ

สมดุลน้ำสะสม บริเวณประเทศไทยตอนบนส่วนมากมีค่าสมดุลน้ำสะสม (-1)-(-40) มม. เว้นแต่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างด้านตะวันออกและภาคกลางตอนล่างมีค่าสมดุลน้ำสะสม 1-40 มม. สำหรับภาคใต้ส่วนมากมีค่าสมดุลน้ำสะสม(-1)-(-40) มม. เว้นแต่ภาคใต้ตอนบนมีค่าสมดุลน้ำสะสม 10-70 มม.

คำแนะนำ ในช่วง 7 วันที่ผ่านมาบริเวณประเทศไทยมีรายงานฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ ส่วนบริเวณประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน สำหรับในช่วงวันที่ 16-19 มี.ค. บริเวณประเทศไทยจะมีอากาศร้อนกับมีฝนฟ้าคะนองบางพื้นที่ และในช่วงวันที่ 20-22 มี.ค.ประเทศไทยตอนบนจะเกิดพายุฤดูร้อนขึ้น โดยมีพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และมีลูกเห็บตกบางพื้นที่ เกษตรกรควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะดังกล่าว ส่วนผู้ที่เลี้ยงสัตว์ควรควบคุมอุณหภูมิภายในโรงเรือนอย่าให้เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เพื่อป้องกันสัตว์เลี้ยงอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย สำหรับภาคใต้จะมีฝนฟ้าคะนองบางพื้นที่ตลอดช่วง เกษตรกรควรระวังการระบาดของโรคพืชที่เกิดจากเชื้อราในพืชสวนและพืชผัก ซึ่งจะทำให้ต้นพืชชะงักการเจริญเติบโต ผลผลิตลดลง และด้อยคุณภาพ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุตุนิยมวิทยา 0-2399-4568-74


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ