ไทย – ภูฏาน ชื่นมื่นสานต่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ตั้งเป้าขยายมูลค่าการค้า 50 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2564

ข่าวเศรษฐกิจ Monday September 30, 2019 13:24 —กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ

‘วีรศักดิ์’นำคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย – ภูฏาน ครั้งที่ 3 สานต่อและขยายขอบเขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจ หวังขยายมูลค่าการค้าสองฝ่ายทะลุเป้า 50 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2564

นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้นำคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย – ภูฏาน (JTC) ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 26– 27 กันยายน 2562 ณ กรุงทิมพูประเทศภูฏาน ตามคำเชิญของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการของภูฏาน โดยการประชุมครั้งนี้ เน้นการหารือเพื่อกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และขยายการค้าการลงทุนระหว่างกัน ตั้งเป้ามูลค่าการค้าสองฝ่ายเติบโตจาก 40 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปัจจุบัน สู่ 50 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2564 ตามเจตนารมณ์ของผู้นำทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ ภูฏานสนใจเรื่องการแปรรูปผลผลิตการเกษตร การพัฒนาสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือสินค้า OGOP (One Gewog One Product) การออกแบบบรรจุภัณฑ์ การพัฒนาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าหัตถกรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่ไทยเชี่ยวชาญ และยินดีแบ่งปันประสบการณ์ถ่ายทอดความรู้เชิงวิชาการ นอกจากนี้ ได้มีโอกาสเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ที่ไทยและภูฏานได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตครบ 30 ปี ซึ่งเห็นว่าชาวภูฏานมีทัศนคติที่ดีกับคนไทย เริ่มรู้จักสินค้าและบริการของไทยมากขึ้น ผ่านการไปท่องเที่ยวและศึกษาในไทย จึงเป็นโอกาสดีที่ทั้งสองประเทศจะกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งร่วมในคณะผู้แทนไทย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในการประชุม JTC ครั้งนี้ ฝ่ายภูฏานแจ้งว่า รัฐบาลมีนโยบายที่จะขยายเขตนิคมอุตสาหกรรม (industrial estate park) เพื่อดึงดูดการลงทุนในภูฏาน ฝ่ายไทยจึงได้ขอให้ภูฏานแจ้งข้อมูลกฎระเบียบด้านการลงทุน และโครงการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศให้ฝ่ายไทยทราบ เพื่อประชาสัมพันธ์ให้แก่นักลงทุนไทยที่สนใจ โดยเฉพาะในสาขาที่ไทยมีศักยภาพ เช่น การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน การโรงแรม และการท่องเที่ยว เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการไทยได้มีการลงทุนด้านธุรกิจโรงแรมในภูฏานอยู่แล้วหลายราย

นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือในรายละเอียดของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่จะดำเนินการและพัฒนาร่วมกันได้ อาทิ (1) ด้านการเกษตร ทั้งสองฝ่ายสามารถใช้กลไกความร่วมมือด้านการเกษตรที่มีอยู่ ส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการด้านการเกษตรและการประมง โดยภูฏานสนใจส่งออกสินค้าเกษตรที่มีศักยภาพมาไทย เช่น ถั่งเช่า เห็ด ควินัว หน่อไม้ฝรั่ง แอปเปิ้ล ส้ม มันฝรั่ง และน้ำผึ้ง เป็นต้น ซึ่งไทยได้ให้ข้อมูลด้านกฎระเบียบมาตรฐานการนำเข้าของไทย เพื่อให้ภูฏานสามารถจัดเตรียมเอกสารข้อมูลการยื่นคำขอนำเข้าได้ถูกต้อง (2) ด้านหัตถกรรม ทั้งสองฝ่ายสามารถใช้บันทึกความเข้าใจ หรือ MoUที่มีอยู่ระหว่างศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศของไทยกับกรมอุตสาหกรรมครัวเรือนของภูฏาน แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และความร่วมมือทางวิชาการด้านหัตถกรรมให้มากขึ้น โดยฝ่ายไทยได้เชิญภูฏานเข้าร่วมจัดนิทรรศการและจำหน่ายงานศิลปหัตถกรรมในงาน Craft Bangkok และงานฝ้ายทอใจที่ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพฯ มีแผนจัดขึ้นในปี 2563 ด้วย และ (3) ด้านการท่องเที่ยว ไทยยินดีสนับสนุนความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวกับภูฏาน โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและศาสนา ตลอดจนการพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยว ด้านการบริหารจัดการโรงแรม ธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบันการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยมีบันทึกความเข้าใจ (MoU) ร่วมกับสภาการท่องเที่ยวแห่งภูฏาน ซึ่งเป็นกลไกที่ใช้หารือและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันด้วย

นายบุณยฤทธิ์ เสริมว่า ฝ่ายภูฏานสนใจเรื่องการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการพัฒนาระบบการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานของรัฐและเอกชนผ่านอิเล็กทรอนิกส์ (ระบบ National single window) โดยเฉพาะข้อมูลการนำเข้า-ส่งออก ตลอดจนการพัฒนาผู้ประกอบการให้สามารถทำธุรกิจซื้อขายสินค้าออนไลน์ (พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์) และการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) เพื่อสร้างความแตกต่างและมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ซึ่งเป็นเรื่องที่กระทรวงพาณิชย์ของไทยมีประสบการณ์ในการพัฒนาระบบ และมีการส่งเสริมผู้ประกอบการในด้านนี้ ไทยจึงยินดีที่จะให้การสนับสนุนช่วยเหลือทางวิชาการแก่ภูฏานในเรื่องเหล่านี้ โดยขอให้ฝ่ายภูฏานแจ้งความต้องการในรายละเอียด เพื่อจะได้วางแนวทางทำกิจกรรมร่วมกันต่อไป และไทยได้เชิญชวนให้ภูฏานประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการเข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติที่กระทรวงพาณิชย์ของไทยมีแผนจะจัดขึ้นด้วย เช่น งาน STYLE (17 – 21 ตุลาคม 2562) งาน Bangkok Gems and Jewelry (กุมภาพันธ์และกันยายน 2563) และงาน THAIFLEX-Anuga (พฤษภาคม 2563) เป็นต้น ซึ่งจะเป็นโอกาสดีในการนำเสนอสินค้าศักยภาพของภูฏานให้เป็นที่รู้จักแก่ชาวไทยและต่างประเทศที่มาร่วมงาน

ทั้งนี้ ภูฏานเป็นคู่ค้าลำดับที่ 7 ของไทยในเอเชียใต้ รองจากอินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ ศรีลังกา

มัลดีฟส์ และเนปาล โดยในปี 2561 การค้าสองฝ่ายมีมูลค่า 39.75 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยส่งออกไปภูฏาน 39.25 ล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้าจากภูฏาน 0.05 ล้านเหรียญสหรัฐ โดย 8 เดือนแรกของปี 2562 (ม.ค. – ส.ค.) การค้าระหว่างไทยกับภูฏาน มีมูลค่า 28.14ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยส่งออกไปภูฏาน มูลค่า 28.04 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ เช่น ผ้าผืน ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูป ผ้าทอจากฝ้าย เป็นต้น และไทยนำเข้าจากภูฏาน มีมูลค่า 0.10 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้านำเข้าที่สำคัญ เช่น สินแร่โลหะที่ใช้ในอุตสาหกรรม เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ น้ำแร่ และผักและผลไม้ เป็นต้น

กระทรวงพาณิชย์

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ

27 กันยายน 2562

ที่มา: กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ