ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) ร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 29 แห่ง จำนวน 66 คน เรื่อง "มาตรการเงินโอน แก้จน คนขยัน" โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 15 – 25 สิงหาคม ที่ผ่านมา พบว่า
นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คิดเป็นร้อยละ 54.5 สนันสนุนแนวคิด “มาตรการเงินโอน แก้จน คนขยัน” โดยให้เหตุผลสำคัญว่า จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ และช่วยเหลือคนจน ขณะที่ร้อยละ 31.8 ไม่สนับสนุน โดยให้เหตุผลสำคัญว่า เป็นนโยบายประชานิยม ไม่ได้เพิ่มผลิตภาพการผลิต (Productivity) ไม่ได้ช่วยให้คนขยันหางานหรือทำงานมากขึ้น
เมื่อถามว่านโยบายดังกล่าวจะมีความเป็นได้มากน้อยเพียงใดที่จะสามารถนำมาใช้ได้จริงในทางปฏิบัติภายในรัฐบาลชุดใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยร้อยละ 44.0 เห็นว่าเป็นไปได้มากถึงมากที่สุด ขณะที่ร้อยละ 42.5 เห็นว่าเป็นไปได้น้อยถึงน้อยที่สุด
สำหรับข้อเสนอเพื่อลดข้อจำกัดในการตรวจสอบคุณสมบัติและพิสูจน์รายได้ของบุคคลผู้มีรายได้ต่ำ มีดังนี้
อันดับ 1 รัฐบาลควรหาวิธีดึงคนทำงานให้เข้ามาอยู่ในระบบ แล้วสร้างฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงกับนายจ้าง ธนาคาร ภาคธุรกิจ และสรรพากร
อันดับ 2 ในทางปฏิบัติสามารถตรวจสอบได้ยาก ไม่มีผู้รับรองรายได้ ขาดฐานข้อมูลโดยเฉพาะเกษตรกรและผู้ทำงานรับจ้างอิสระ นอกจากนี้จะทำให้ต้นทุนในการตรวจสอบสูงโดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับงบประมาณที่โอนให้คนจน
อันดับ 3 การตรวจสอบควรอยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานท้องถิ่น หรืออาจมีทหารร่วมด้วยถ้าจำเป็น ต้องมีวิธีป้องกันการหลีกเหลี่ยงหรือให้ข้อมูลที่เป็นเท็จ รวมถึงต้องมีบทลงโทษที่ชัดเจนหากจงใจกระทำผิด
(โปรดพิจารณารายละเอียดผลสำรวจตามประเด็นข้อคำถามดังต่อไปนี้)
(1) ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ช่วยเหลือคนจน
(2) กระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มอำนาจซื้อ และสร้างงานอาชีพ
(3) ขยายฐานข้อมูลภาษีให้กว้างขึ้น และดึงคนเข้าระบบภาษีให้มากขึ้น ร้อยละ 31.8 ไม่สนับสนุน เพราะ
(1) เป็นนโยบายประชานิยม ไม่ได้เพิ่มผลิตภาพการผลิต (Productivity) ไม่ได้ช่วยให้คนขยันหางานหรือทำงานมากขึ้น
(2) อาจมีคนจนไม่จริงมายื่นขอรับเงินเกิดเป็น Moral Hazard ทำให้เกิดการขาดแรงจูงใจในการทำงาน และเป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติโดยค่าตรวจสอบอาจสูงกว่าเงินที่โอนให้คนจน ร้อยละ 13.7 ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ/ไม่ทราบ
2. ท่านคิดว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใดที่แนวคิด “มาตรการ เงินโอน แก้จน คนขยัน” จะสามารถนำมาใช้ได้จริงในทางปฏิบัติภายในรัฐบาลชุดใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
ร้อยละ 6.1 มีความเป็นไปได้มากที่สุด (เป็นไปได้ 75%-100%)
ร้อยละ 37.9 มีความเป็นไปได้มาก (เป็นไปได้ 50%-74%)
ร้อยละ 25.8 มีความเป็นไปได้น้อย (เป็นไปได้ 25%-49%)
ร้อยละ 16.7 มีความเป็นไปได้น้อยที่สุด (เป็นไปได้ 0%-24%)
ร้อยละ 13.5 ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ/ไม่ทราบ
3. ข้อเสนอเพื่อลดข้อจำกัดในการตรวจสอบคุณสมบัติและพิสูจน์รายได้ของบุคคลผู้มีรายได้ต่ำ
อันดับ 1 รัฐบาลควรหาวิธีดึงคนทำงานให้เข้ามาอยู่ในระบบ แล้วสร้างฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงกับนายจ้าง ธนาคาร ภาคธุรกิจ และสรรพากร
อันดับ 2 ในทางปฏิบัติสามารถตรวจสอบได้ยาก ไม่มีผู้รับรองรายได้ ขาดฐานข้อมูลโดยเฉพาะเกษตรการและผู้ทำงานรับจ้างอิสระ นอกจากนี้จะทำให้ต้นทุนในการตรวจสอบสูงโดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับงบประมาณที่โอนให้คนจน
อันดับ 3 การตรวจสอบควรอยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานท้องถิ่น หรืออาจมีทหารร่วมด้วยถ้าจำเป็น ต้องมีวิธีป้องกันการหลีกเหลี่ยงหรือให้ข้อมูลที่เป็นเท็จ รวมถึงต้องมีบทลงโทษที่ชัดเจนหากจงใจกระทำผิด
อันดับ 4 ไม่สนับสนุนนโยบายดังกล่าว เนื่องจากเป็นนโยบายประชานิยม และอาจมีคนจนไม่จริงมายื่นขอรับเงินเกิดเป็น Moral Hazard
หมายเหตุ: รายงานผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ฉบับนี้ เป็นการสำรวจความเห็นส่วนตัวของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งมิได้สื่อถึงแนวนโยบายขององค์กรที่นักเศรษฐศาสตร์สังกัดอยู่แต่อย่างใดรายละเอียดในการสำรวจ
เพื่อสะท้อนความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์ต่อ "มาตรการเงินโอน แก้จน คนขยัน" ว่าเห็นด้วยหรือไม่กับนโยบายดังกล่าว รวมถึงความเป็นไปได้ในการนำนโยบายดังกล่าวมาใช้ได้จริงภายในรัฐบาลชุดปัจจุบันเพื่อข้อมูลดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง
เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์ (กรณีสำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์เฉพาะปริญญาตรี หรือปริญญาโท หรือปริญญาเอก อย่างใดอย่างหนึ่ง จะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานด้านวิเคราะห์/วิจัย/หรืองานที่เกี่ยวข้องที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถด้านเศรษฐศาสตร์อย่างน้อย 5 ปีจนถึงปัจจุบัน) ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 29 แห่ง ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI) ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ธนาคารธนชาต ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารทหารไทย บริษัทหลักทรัพย์เอเชียพลัส บริษัทหลักทรัพย์ภัทร บริษัทหลักทรัพย์พัฒนสิน บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงไทย บริษัททิพยประกันชีวิต คณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยทักษิณ คณะวิทยาการจัดการและสารสนเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร สำนักวิชาเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ คณะวิทยาการจัดการมหาวิทยาลัยขอนแก่น และคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
การสำรวจนี้เป็นการวิจัยโดยการเลือกตัวอย่างประชากรโดยไม่อาศัยหลักความน่าจะเป็น (Non-probability sampling) แต่ละหน่วยตัวอย่างที่จะได้รับการเลือก จึงเป็นการเลือกตัวอย่างประชากรแบบเจาะจง (Purposive sampling) และดำเนินการรวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามออนไลน์ไปยังนักเศรษฐศาสตร์ในหน่วยงานที่กำหนดภายในระยะเวลาที่กำหนด
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 15 – 25 สิงหาคม 2557 วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 27 สิงหาคม 2557ข้อมูลรายละเอียดของกลุ่มตัวอย่าง
จำนวน ร้อยละ ประเภทของหน่วยงานที่กลุ่มตัวอย่างทำงานอยู่
หน่วยงานภาครัฐ 33 50 หน่วยงานภาคเอกชน 21 31.8 สถาบันการศึกษา 12 18.2 รวม 66 100 เพศ ชาย 41 62.1 หญิง 25 37.9 รวม 66 100 อายุ 18 ปี – 25 ปี 1 1.5 26 ปี – 35 ปี 14 21.2 36 ปี – 45 ปี 27 40.9 46 ปีขึ้นไป 23 34.9 ไม่ระบุ 1 1.5 รวม 66 100 การศึกษา ปริญญาตรี 3 4.5 ปริญญาโท 46 69.7 ปริญญาเอก 17 25.8 รวม 66 100 ประสบการณ์ทำงานรวม 1-5 ปี 5 7.5 6-10 ปี 20 30.3 11-15 ปี 11 16.7 16-20 ปี 11 16.7 ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป 18 27.3 ไม่ระบุ 1 1.5 รวม 66 100--ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--