ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ(กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง ความเชื่อมั่นประเทศไทย ประจำไตรมาส 3/2552 พบความเชื่อมั่นด้านการเมืองมีคะแนนต่ำที่สุดคือ 2.46 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 คะแนน ขณะที่ความเชื่อมั่นด้านสังคมและคุณภาพชีวิตได้ 3.43 คะแนน ส่วนความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจแม้จะมีคะแนนสูงกว่าด้านอื่นแต่ก็ยังต่ำกว่าครึ่งคือ 3.96 คะแนน ส่งผลให้คะแนนความเชื่อมั่น เฉลี่ยโดยรวมอยู่ที่ 3.28 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 คะแนน
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาองค์ประกอบของความเชื่อมั่นในแต่ละด้านพบว่า ความเชื่อมั่นในการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันมีคะแนนต่ำที่สุดคือ 2.05 คะแนน ขณะที่ความเชื่อมั่นในศักยภาพด้านการเป็นแหล่งท่องเที่ยว แหล่งการค้า และการลงทุนมีคะแนนสูงที่สุดคือ 4.54 คะแนน (โปรดพิจารณารายละเอียดในตารางที่ 1)
สำหรับความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อประเทศไทย ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ผลสำรวจพบว่า คะแนนความเชื่อมั่นยังคงอยู่ในระดับต่ำ ทั้ง 3 ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชื่อมั่นด้านการเมืองที่ประชาชนให้คะแนนเพียง 2.49 คะแนน สะท้อนมุมมองของประชาชนที่เชื่อว่าอนาคต อีก 3 เดือนข้างหน้าปัญหาด้านการเมืองจะยังคงเป็นปัญหาหลักที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศไทยอยู่เช่นเดิม (ตารางที่ 2)
ส่วน เรื่องที่เห็นว่าควรดำเนินการโดยเร่งด่วนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นของประเทศไทย (3 อันดับแรก) (เป็นคำถามปลายเปิด ให้ผู้ตอบระบุเอง) ได้แก่ อันดับที่ 1: แก้ปัญหาเศรษฐกิจ การว่างงาน และปัญหาปากท้องให้เห็นผลอย่างชัดเจน..............ร้อยละ 31.3 อันดับที่ 2 : แก้ปัญหาความขัดแย้งของคนในสังคมให้มีความรักสามัคคีกัน .........................ร้อยละ 19.0 อันดับที่ 3 : แก้ปัญหาความขัดแย้งในหมู่นักการเมืองให้มีความสามัคคี
และช่วยกันบริหารประเทศ................................................ ร้อยละ 17.1
การสำรวจดังกล่าวเก็บข้อมูลจากประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป ในทุกสาขาอาชีพทั่วทุกภาคของประเทศ จำนวน 1,112 คน ระหว่างวันที่ 11 — 16 กันยายนที่ผ่านมา
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) โทร. 02-350-3500 ต่อ 1776
E-mail: [email protected] Website: http://research.bu.ac.th
รายละเอียดในการสำรวจ
เพื่อสอบถามความคิดเห็นของประชาชนให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ ในประเด็นต่อไปนี้
1. ประเมินความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยในด้านต่างๆ
2. ประเมินความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยในอีก 3 เดือนข้างหน้า
3. เรื่องที่เห็นว่าควรมีการดำเนินการโดยเร่งด่วนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นของประเทศไทย
การสำรวจใช้การสุ่มตัวอย่างประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปจากทุกสาขาอาชีพ ในทั่วทุกภาคของประเทศ ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้น ตอน (Multi-Stage Sampling) โดยการเลือกจังหวัดที่เป็นตัวแทนของแต่ละภาครวม 9 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี เพชรบุรี ขอนแก่น ร้อยเอ็ด เชียงราย เชียงใหม่ นครศรีธรรมราช และสตูล จากนั้นจึงสุ่มถนน และประชากรเป้าหมายที่จะสัมภาษณ์อย่างเป็นระบบ ได้กลุ่ม ตัวอย่างทั้งสิ้น 1,112 คน เป็นเพศชายร้อยละ 47.1 และเพศหญิงร้อยละ 52.9
ในการประมาณการขนาดตัวอย่างมีขอบเขตของความคลาดเคลื่อน ? 4% ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%
ใช้การสัมภาษณ์แบบพบตัว(Face to face interview) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่มีโครงสร้างแน่นอน ประกอบ ด้วยข้อคำถามแบบเลือกตอบ (Check List Nominal) และคำถามปลายเปิด (Open Form) จากนั้นคณะนักวิจัยได้นำแบบสอบถามทุกชุดมาตรวจ สอบความถูกต้องสมบูรณ์ก่อนบันทึกข้อมูลและประมวลผล
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 11 — 16 กันยายน 2552 วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 29 กันยายน 2552ข้อมูลประชากรศาสตร์
จำนวน ร้อยละ เพศ ชาย 524 47.1 หญิง 588 52.9 รวม 1,112 100.0 อายุ 18 ปี — 25 ปี 287 25.8 26 ปี — 35 ปี 299 26.9 36 ปี — 45 ปี 275 24.7 46 ปีขึ้นไป 251 22.6 รวม 1,112 100.0 การศึกษา ต่ำกว่าปริญญาตรี 641 57.6 ปริญญาตรี 387 34.8 สูงกว่าปริญญาตรี 84 7.6 รวม 1,112 100.0 อาชีพ ข้าราชการ / พนักงานรัฐวิสาหกิจ 110 9.9 พนักงาน / ลูกจ้างบริษัทเอกชน 267 24.0 ค้าขาย / ประกอบอาชีพส่วนตัว 281 25.3 รับจ้างทั่วไป 170 15.3 พ่อบ้าน / แม่บ้าน / เกษียณอายุ 59 5.3 อื่นๆ อาทิ นิสิตนักศึกษา อาชีพอิสระ ว่างงาน 225 20.2 รวม 1,112 100.0--ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--