ฉบับที่ 4/2554
ภาวะเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือไตรมาสที่ 1/2554 ขยายตัวเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนและขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน โดยด้านอุปสงค์ การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวตามรายได้เกษตรที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดีแม้ว่าจะชะลอลงจากไตรมาสก่อน การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นมาก และการเบิกจ่ายภาครัฐเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับด้านอุปทานภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรมยังขยายตัว สำหรับแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อมีไม่มาก ขณะที่อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ
รายละเอียดของภาวะเศรษฐกิจและการเงินภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีดังนี้
มูลค่าผลผลิตพืชสำคัญเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 12.0 โดยดัชนีราคาพืชสำคัญเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.3 เป็นผลจากการสูงขึ้นของราคาข้าวเปลือกเหนียว มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และยางพารา เป็นสำคัญขณะที่ดัชนีผลผลิตพืชสำคัญเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 ขยายตัวเล็กน้อยตามการเพิ่มขึ้นของผลผลิตอ้อยโรงงานและยางพาราข้าว ราคายังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยราคาข้าวเปลือกเหนียวเฉลี่ยเกวียนละ 14,198 บาท สูงขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 31.4 เนื่องจากผลผลิตลดลง ประกอบกับความต้องการทั้งภายในประเทศและต่างประเทศยังขยายตัว ขณะที่ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิเฉลี่ยเกวียนละ 13,024 บาท ลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 9.0 เป็นผลจากผู้ส่งออกมีสต็อกเพียงพอ และยังไม่มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น มันสำปะหลัง ราคาอยู่ในเกณฑ์ดี เนื่องจากผลผลิตลดลงจากน้ำท่วมในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน และการระบาดของเพลี้ยแป้ง ขณะที่ความต้องการยังขยายตัวต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยราคาหัวมันสดเฉลี่ยกิโลกรัมละ 3.14 บาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 20.6 ราคามันเส้นเฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.71 บาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันร้อยละ 27.1 อ้อยโรงงาน ราคาอยู่ในเกณฑ์ดีเฉลี่ยตันละ 976 บาท สูงขึ้นตามราคาน้ำตาลจากภาวะอุปทานตึงตัว แต่หดตัวจากระยะเดียวกันของปีก่อนเล็กน้อยร้อยละ 2.4 เนื่องจากผลผลิตเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มพื้นที่เพาะปลูก และเป็นที่น่าสังเกตว่ามีอ้อยโรงงานจากภาคอื่นเข้ามาหีบในโรงงานน้ำตาลภาคอีสานมากขึ้น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ราคาอยู่ในเกณฑ์ดีเฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.46 บาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 4.2 เนื่องจากผลผลิตออกสู่ตลาดลดลง ยางพารา ราคายังคงสูงขึ้นเนื่องจากตลาดต่างประเทศยังคงขยายตัว โดยราคายางแผ่นดิบชั้น 3 เฉลี่ยกิโลกรัมละ 142.3 เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 32.9
ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 11.1 จากผลผลิตในอุตสาหกรรมน้ำตาล เนื่องจากมีปริมาณอ้อยเข้าสู่โรงงานมากกว่าปีก่อน อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์หดตัวร้อยละ 3.9 เนื่องจากการปรับลดการผลิตเพื่อไปผลิตเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ การส่งสัญญาณการปรับภาษีใหม่ของรัฐบาลและการจำหน่ายที่ลดลงเนื่องจากการแข่งขันที่สูงขึ้น และอุตสาหกรรมผลิตเพื่อการส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในกลุ่ม Hard Disk Drive (HDD) หดตัวร้อยละ 23.8 เป็นผลจากการชะลอคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ
ภาคการค้า ขยายตัวจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 8.6 จากการขยายตัวทั้งการค้าส่ง ค้าปลีก และการค้า หมวดยานยนต์ ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ และรายได้เกษตรกรอยู่ในเกณฑ์ดี ส่งผลให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นสะท้อนจากการค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภค วัสดุก่อสร้าง และยานยนต์ขยายตัว
การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวตามรายได้เกษตรกรที่อยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากยอดจดทะเบียนรถทุกชนิดและการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่เพิ่มขึ้น การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวดี สะท้อนจากมูลค่าเงินทุนของโรงงานอุตสาหกรรมที่ประกอบกิจการใหม่ขยายตัวสูง ส่วนใหญ่กระจุกตัวในโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้า โดยเฉพาะจากกังหันลมสำหรับแนวโน้มการลงทุนยังคงขยายตัวต่อเนื่องตามมูลค่าโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอที่เพิ่มขึ้นมากซึ่งร้อยละ 49.7 ของมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้นอยู่ในอุตสาหกรรมเกษตรและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ส่วนการก่อสร้างภาคเอกชนยังขยายตัวดีเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนตามพื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างในเขตเทศบาลเมืองและเทศบาลนครที่ขยายตัวทั้งจากการก่อสร้างเพื่อการบริการ เพื่ออยู่อาศัย และเพื่อพาณิชยกรรม
ภาคการคลัง รายได้ของภาครัฐบาลจากการจัดเก็บภาษีอากรทั้งสิ้น 12,257.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2.8 จากการเพิ่มขึ้นของภาษีสรรพากรเป็นสำคัญ สำหรับการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ 81,316.6 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 16.7 ทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุน โดยเฉพาะรายจ่ายลงทุนกลับมาขยายตัวหลังจากที่ลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสแรกปีก่อน เป็นผลจากรายจ่ายในหมวดเงินเดือน ที่ดิน/สิ่งปลูกสร้าง และเงินอุดหนุนที่จัดสรรให้สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเพิ่มขึ้น หากนับรวมการเบิกจ่ายของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 การเบิกจ่ายรวมขยายตัวร้อยละ 7.7
การค้าชายแดนไทย - ลาว ขยายตัวสูงร้อยละ 29.1 จากระยะเดียวกันของปีก่อน สินค้าสำคัญที่ไทยส่งออกไปลาวได้แก่ สินค้าในหมวดน้ำมันเชื้อเพลิงที่มูลค่าเพิ่มขึ้นตามราคาในตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่องเป็นสำคัญ หมวดคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ โดยเฉพาะชิ้นส่วนในฮาร์ดดิสก์ บางส่วนมีการส่งไปยังประเทศจีนและเวียดนาม หมวดยานพาหนะและอุปกรณ์ เพื่อนำไปใช้ในโครงการก่อสร้าง โครงการลงทุนที่ยังเติบโตต่อเนื่อง และหมวดสินค้าอุปโภคบริโภค ส่วนใหญ่เป็นเครื่องดื่มบำรุงกำลังที่บางส่วนส่งไปจำหน่ายยังประเทศเวียดนามด้วย ส่วนสินค้าสำคัญที่ไทยนำเข้าจากลาว ได้แก่ สินแร่ทองแดงเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ยังมีเสื้อผ้าสำเร็จรูป และเครื่องใช้ไฟฟ้าจากประเทศจีน การค้าชายแดนไทย - กัมพูชา(ด้านจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี) ลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 69.4 ทั้งการส่งออกและการนำเข้า สินค้าส่งออกสำคัญลดลงเกือบทุกหมวดสินค้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งหมวดน้ำมันเชื้อเพลิงเนื่องจากปัญหาความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่วนสินค้าที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ หมวดวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะเหล็กเส้นและเหล็กสำหรับงานก่อสร้าง และวัสดุก่อสร้างอื่น ๆ หมวดเครื่องจักรกลการเกษตร โดยเฉพาะรถไถและอุปกรณ์ หมวดยานพาหนะ และหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่วนสินค้านำเข้าลดลงเป็นส่วนใหญ่ยกเว้นหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมหมวดผลิตภัณฑ์ไม้ หมวดผ้าและวัสดุอุปกรณ์ตัดเย็บ ที่ยังนำเข้าเพิ่มขึ้น
ธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2554 มียอดเงินฝากคงค้าง 463.0 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 12.6 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของเงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากประจำ ในขณะที่เงินกระแสรายวันหดตัว สำหรับสินเชื่อคงค้าง 461.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 14.3 โดยเป็นการขยายตัวของสินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคล ขายส่ง/ขายปลีก และตัวกลางทางการเงิน ส่วนอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากในเดือนนี้อยู่ที่ 99.6 เทียบกับเดือนก่อนซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 100.9
สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ มียอดเงินฝากคงค้าง 261.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 21.2 ตามการขยายตัวของเงินฝากของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารออมสิน สำหรับสินเชื่อคงค้าง 616.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 29.3 โดยส่วนใหญ่เป็นการขยายตัวของสินเชื่อธนาคารออมสิน 5. เสถียรภาพราคาและการจ้างงาน
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 อยู่ที่ร้อยละ 3.87 ชะลอลงจากระยะเดียวกันปีก่อน ตามการชะลอลงของราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม โดยเฉพาะข้าว ผัก และผลไม้ สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 1.90 เร่งขึ้นจากร้อยละ 0.06 จากระยะเดียวกันของปีก่อน
ภาวะการจ้างงาน ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 การจัดหางานของรัฐในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีผู้สมัครงาน จำนวน 27,406 คน หดตัวร้อยละ 16.1 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน และตำแหน่งงานว่าง จำนวน 17,467 คน หดตัวร้อยละ 18.2 ขณะที่การบรรจุงานจำนวน 14,040 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.8
แรงงานไทยจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ขออนุญาตเดินทางไปทำงานต่างประเทศ มีจำนวน 21,158 เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ตามการเพิ่มขึ้นของแรงงานที่เดินทางไปทำงานในประเทศคูเวตสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และสาธารณรัฐเกาหลี สำหรับจังหวัดที่มีแรงงานไทยขออนุญาตเดินทางไปทำงานต่างประเทศมากที่สุดคือ อุดรธานี นครราชสีมา และขอนแก่น ตามลำดับ
ส่วนเศรษฐกิจภาค
ธนาคารแห่งประเทศไทย
สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ข้อมูลเพิ่มเติม: ดร. เสาวณี จันทะพงษ์ หัวหน้าเศรษฐกร
E-mail: [email protected]
นายโรจน์ลักษณ์ ปรีชา เศรษฐกรอาวุโส
E-mail: [email protected]
โทร: 0-4333-3000 ต่อ 3411
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย