สรุปภาวะเศรษฐกิจและการเงินภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เดือนเมษายน 2554

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday May 31, 2011 11:14 —ธนาคารแห่งประเทศไทย

ฉบับที่ 6/2554

ภาวะเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เดือนเมษายน 2554 ขยายตัวเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน และขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน โดยด้านอุปสงค์ ขยายตัวตามการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาคเอกชน และการเบิกจ่ายของภาครัฐ ขณะที่ด้านอุปทาน ขยายตัวทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรม สำหรับอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 4.4 เร่งตัวสูงขึ้นจากเดือนก่อน

รายละเอียดของภาวะเศรษฐกิจการเงินภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีดังนี้

1. ด้านการผลิต

มูลค่าผลผลิตพืชสำคัญเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2.5 โดยดัชนีราคาพืชสำคัญเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.3 เป็นผลจากการสูงขึ้นของราคาข้าวเปลือกเหนียว มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และยางพารา เป็นสำคัญ ขณะที่ดัชนีผลผลิตหดตัวจากร้อยละ 2.6 ตามการลดลงของผลผลิตข้าวนาปี มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าว ราคาข้าวเปลือกเหนียวยังอยู่ในเกณฑ์ดีเฉลี่ยเกวียนละ 14,404 บาท สูงขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 37.2 ขณะที่ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิเฉลี่ยเกวียนละ 12,887 บาท ลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 6.2 เนื่องจากพ่อค้าส่งออกยังมีสต็อกเพียงพอ และไม่มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น มันสำปะหลัง ราคาหัวมันสดเฉลี่ยกิโลกรัมละ 2.96 บาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 13.8 แต่ชะลอลง เนื่องจากฝนตกต่อเนื่องทำให้คุณภาพแป้งลดลง และลานมันบางแห่งหยุดรับซื้อ ราคามันเส้นเฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.01 บาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันร้อยละ 30.5 อ้อยโรงงาน ราคาอยู่ในเกณฑ์ดีเฉลี่ยตันละ 1,090.4 บาท แต่หดตัวจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 9.6 เนื่องจากมีผลผลิตเข้าสู่โรงงานเพิ่มขึ้น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ราคายังอยู่ในเกณฑ์ดีเฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.81 บาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 11.9 เนื่องจากผลผลิตลดลง ยางพารา ยังคงอยู่ในเกณฑ์ดีตามความต้องการของตลาดต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ โดยราคายางแผ่นดิบชั้น 3 เฉลี่ยกิโลกรัมละ 156.03 บาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 52.3

ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 23.9 จากการผลิตในอุตสาหกรรมน้ำตาลโดยเฉพาะน้ำตาลทรายขาวซึ่งผลิตเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 20.7 และอุตสาหกรรมเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.6 หลังจากหดตัวต่อเนื่องในช่วง 3 เดือนก่อนหน้า สำหรับอุตสาหกรรมผลิตเพื่อการส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในกลุ่ม Hard Disk Drive (HDD) หดตัวร้อยละ 32.0 เป็นผลจากการชะลอคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ ขณะที่อุตสาหกรรมมันสำปะหลังการผลิตลดลงเนื่องจากหยุดเทศกาลสงกรานต์ และมีการเร่งเก็บเกี่ยวผลผลิตในเดือนก่อน

ภาคการค้า ขยายตัวจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 11.6 ตามการขยายตัวของหมวดการค้ายานยนต์ ทั้งการค้ารถยนต์ และน้ำมันเชื้อเพลิง เนื่องจากผู้ประกอบการมีการส่งเสริมการขายรถยนต์ ประกอบกับสถาบันการเงินมีการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์เพิ่มขึ้น สำหรับการค้าปลีกโดยรวมชะลอลง จากการค้าวัสดุก่อสร้าง แต่การค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องใช้ในครัวเรือน เครื่องใช้ภายในบ้าน และยอดขายในห้างสรรพสินค้ายังคงขยายตัว

2. ด้านอุปสงค์

การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวจากระยะเดียวกันของปีก่อนทั้งจากการบริโภคสินค้าจำเป็นและสินค้าคงทน สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บได้เพิ่มขึ้น และการจดทะเบียนยานยนต์ที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้นทุกจังหวัด ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการแข่งขันของสถาบันการเงินและผู้ประกอบการ การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวจากระยะเดียวกันของปีก่อน โดยเงินทุนจดทะเบียนโรงงานอุตสาหกรรมประกอบกิจการใหม่เพิ่มขึ้น 1.5 เท่า เกินกว่าครึ่งเป็นเงินทุนจากโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้า ขณะที่เงินทุนจดทะเบียนธุรกิจตั้งใหม่ลดลงแต่หากไม่นับรวมการจดทะเบียนของธุรกิจขนาดใหญ่แล้วจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.0 สำหรับมูลค่าการลงทุนของโครงการที่ได้รับอนุมัติจากบีโอไอเพิ่มขึ้นจากโครงการผลิตพลังงานไฟฟ้า และผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นสำคัญ ส่วนการก่อสร้างภาคเอกชนเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนสะท้อนจากการขยายตัวของพื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างในเขตเทศบาลเมืองและเทศบาลนคร

ภาคการคลัง รายได้ของภาครัฐบาลจากการจัดเก็บภาษีอากรทั้งสิ้น 4,090.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 11.8 จากการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์เป็นสำคัญ สำหรับการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ 21,578.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 29.4 ทั้งรายจ่ายประจำ และรายจ่ายลงทุน โดยเฉพาะรายจ่ายด้านการส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และการศึกษาขั้นพื้นฐาน หากนับรวมการเบิกจ่ายของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 การเบิกจ่ายรวมขยายตัวร้อยละ 9.6

3. ภาคต่างประเทศ

การค้าชายแดนไทย - ลาว ขยายตัวจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 67.8 เพิ่มขึ้นทั้งการส่งออกและการนำเข้า สินค้าสำคัญที่ไทยส่งออกไปลาว ได้แก่ หมวดคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ หมวดน้ำมันปิโตรเลียม หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค และหมวดยานพาหนะและอุปกรณ์ สำหรับสินค้าสำคัญที่ไทยนำเข้าจากลาว ได้แก่ หมวดสินแร่ โดยเฉพาะสินแร่ ทองแดง หมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ หมวดเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย หมวดผลิตภัณฑ์เกษตร และหมวดผลิตภัณฑ์ไม้การค้าชายแดนไทย - กัมพูชา (ด้านจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี) ลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 73.6 ทั้งการส่งออกและการนำเข้า สินค้าส่งออกสำคัญลดลงเกือบทุกหมวดสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมันเชื้อเพลิงและวัสดุก่อสร้าง อย่างไรก็ตาม สินค้าบริโภคในครัวเรือนยังขยายตัวได้ดี สำหรับสินค้านำเข้าลดลงเป็นส่วนใหญ่ยกเว้นไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ เครื่องจักรและอุปกรณ์สำหรับโครงการก่อสร้าง ที่ยังนำเข้าเพิ่มขึ้น

4. ภาวะการเงิน

ธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 มีเงินฝากคงค้าง 469.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 14.0 เป็นผลจากการระดมเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ และเงินฝากของส่วนราชการเพื่อรอการใช้จ่าย สำหรับสินเชื่อคงค้าง 466.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 13.4 จากสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และสินเชื่อแก่สหกรณ์ออมทรัพย์ อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากในเดือนนี้อยู่ที่ 99.3 ใกล้เคียงกับเดือนก่อนซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 99.6

สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ณ สิ้นเดือนมีนาคม มีเงินฝากคงค้าง 268.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 18.4 ตามการขยายตัวของเงินฝากของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารออมสิน สำหรับสินเชื่อคงค้าง 636.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 31.9 ส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อตามนโยบายของรัฐ โดยเฉพาะสินเชื่อพัฒนากลุ่มอาชีพของธนาคารออมสิน

5. เสถียรภาพราคาและการจ้างงาน

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 4.41 เร่งตัวจากร้อยละ 3.87 ในเดือนก่อน ตามการเพิ่มขึ้นของราคาในหมวดอาหารและเครื่องดื่มร้อยละ 8.79 โดยเฉพาะจากราคาไข่ ผักและผลไม้ ผลิตภัณฑ์น้ำตาลและเครื่องประกอบอาหาร เป็นสำคัญ ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อของหมวดอื่นๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มอยู่ที่ร้อยละ 1.61 ลดลงจากเดือนก่อน ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 1.56 ลดลงจากเดือนก่อน

ภาวะการจ้างงาน การจัดหางานของภาครัฐ มีตำแหน่งงานว่าง ผู้สมัครงาน และการบรรจุงานเพิ่มขึ้น โดยตำแหน่งงานว่างในเดือนนี้มีจำนวน 4,250 อัตรา ผู้สมัครงานมีจำนวน 11,057 คน และการบรรจุงานมีจำนวน 6,455 คน เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 17.4 ร้อยละ 11.4 และร้อยละ 56.0 ตามลำดับ

ส่วนเศรษฐกิจภาค

ธนาคารแห่งประเทศไทย

สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ข้อมูลเพิ่มเติม: นายโรจน์ลักษณ์ ปรีชา เศรษฐกรอาวุโส

E-mail: [email protected]

โทร: 0-4333-3000 ต่อ 3411

ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ