FOCUSED AND QUICK (FAQ) Issue 45
ข้อจำกัดในการวิเคราะห์แรงกดดันด้านราคา
จากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อ จิณห์นิภา สารกิจพันธ์
การใช้เฉพาะตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่ทางการประกาศในการวิเคราะห์แรงกดดันด้านราคาอาจมีข้อจำกัด เพราะตัวเลขดังกล่าวมี bias ซึ่งเป็นผลจากการใช้สูตร Laspeyres ในการสร้างดัชนีราคา รวมทั้งอาจถูกบิดเบือนจากการเปลี่ยนแปลงราคาค่าเช่าบ้านที่ต่ำต่อเนื่อง การดูแลราคาสินค้าและบริการของภาครัฐ และปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดความผันผวนในระยะสั้น ทั้งนี้โดยปกติส่วนของ bias รวมกับการเปลี่ยนแปลงของค่าเช่ามีผลทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปสะท้อนแรงกดดันเงินเฟ้อสูงกว่าที่เกิดขึ้นจริงอยู่เล็กน้อย ประมาณร้อยละ 0 - 0.5 ในกรณีของประเทศไทย ขณะที่ผลของการดูแลราคาสินค้าและบริการโดยภาครัฐและความผันผวนระยะสั้นอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อสะท้อนแรงกดดันด้านราคาที่สูงหรือต่ำกว่าความเป็นจริงก็ได้แล้วแต่กรณี ดังนั้น การวิเคราะห์จึงจำเป็นต้องมีพื้นฐานความเข้าใจข้อจำกัดของข้อมูลและอาศัยเครื่องชี้อื่นๆ ช่วยในการประเมินแรงกดดันด้านราคา เพื่อให้การประเมินมีความครบถ้วนและแม่นยำมากขึ้น
อัตราเงินเฟ้อที่จัดทำและเผยแพร่โดยสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เป็นเครื่องชี้หลักที่ใช้สะท้อนแรงกดดันต่อระดับราคาในระบบเศรษฐกิจและเสถียรภาพภายในของประเทศ โดยในช่วงที่เศรษฐกิจร้อนแรง แรงกดดันต่อระดับราคาจะสูงขึ้นและอาจนำไปสู่การสะสมความเสี่ยงต่อเสถียรภาพภายในของประเทศ
อย่างไรก็ดี ตัวเลขหรือดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจต่างๆ มักมีข้อจำกัดบางอย่างในการนำมาใช้ ถ้าหากเรารู้ข้อจำกัดของตัวเลขหรือดัชนีเหล่านี้ จะช่วยให้เราประเมินภาพเศรษฐกิจได้ถูกต้องและชัดเจนขึ้น สำหรับตัวเลขอัตราเงินเฟ้อมีข้อจำกัดที่พึงระวังในการนำมาใช้วิเคราะห์แรงกดดันด้านราคาเช่นกัน ที่สำคัญได้แก่ Bias จากวิธีการจัดทำดัชนีและองค์ประกอบบางตัว การดูแลราคาสินค้าโดยภาครัฐ และความผันผวนจากปัจจัยระยะสั้น ดังต่อไปนี้
1. Bias เกิดจากการคำนวณดัชนีราคาผู้บริโภคโดยใช้สูตร Laspeyres ซึ่งกำหนดปริมาณการบริโภคคงที่เท่ากับในปีฐาน ทำให้ไม่สามารถสะท้อนการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริโภคซึ่งเกิดจากการแสวงหาสินค้าและบริการที่ดีและถูกที่สุดได้
ตารางที่ 1 สรุปประเภทและค่าของ bias ของการศึกษาในต่างประเทศ
ประเภทของ bias สาเหตุการเกิด bias ค่า bias Item Substitution Bias เมื่อราคาโดยเปรียบเทียบเปลี่ยนแปลงไป ผู้บริโภคจะเปลี่ยนแปลง ?0.05-0.35 (Upper level substitution) รูปแบบการบริโภคโดยเพิ่มการบริโภคสินค้าที่มีราคาถูกกว่า และ
ลดการบริโภคสินค้าที่มีราคาแพงกว่า
Outlet Substitution Bias ผู้บริโภคเปลี่ยนแหล่งซื้อสินค้าเพื่อให้ได้สินค้าราคาถูก โดยอาจซื้อ ?0.05-0.25 (Lower Level Substitution) จากแหล่งขายสินค้าทั้งที่อยู่ในการสำรวจและแหล่งใหม่ที่ยังไม่อยู่ และ New Outlet Bias ในการสำรวจ Quality Adjustment Bias และ สินค้าที่เคยบริโภคอยู่หายไปจากตลาด ขณะที่มีสินค้าเดิมรุ่นใหม่ๆ ?0.20-0.60 New Good and Service Bias และ/หรือ สินค้าชนิดใหม่ที่ไม่รวมอยู่ในตะกร้าเข้ามาแทน
หมายเหตุ: รวบรวมจากการศึกษาของแคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี นิวซีแลนด์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ที่มา: Cunningham (1996), Diewert (1999), Hoffman (1998), Lebow (2003), Lequiller (1997), Rossiter (2005) และ United States General Accounting Office (2000)
เมื่อเวลาผ่านไปรูปแบบการบริโภคก็จะยิ่งแตกต่างจากการบริโภค ณ ปีฐานมากขึ้น ดังนั้นค่า bias จะยิ่งมากขึ้น ซึ่งหมายถึงตัวเลขอัตราเงินเฟ้อจะยิ่งสูงกว่าการเพิ่มขึ้นของระดับราคาทั่วไปในความเป็นจริง
นอกจากมิติด้านเวลาแล้ว ในช่วงที่อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นมาก ค่า bias จะมีแนวโน้มสูงกว่าช่วงที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากช่วงที่อัตราเงินเฟ้อสูง การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริโภคเพื่อแสวงหาสินค้าและบริการที่ดีและถูกจะมีมากกว่าในช่วงที่อัตราเงินเฟ้อต่ำ นอกจากนี้ ในปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วด้านเทคโนโลยีส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภค ทำให้ค่า bias มีแนวโน้มสูงขึ้น
การระบุค่า bias เป็นเรื่องที่ยาก อย่างไรก็ดี การศึกษาในต่างประเทศพบว่าค่า bias อยู่ระหว่างร้อยละ 0.5 - 1.0 โดยเราสามารถแบ่งลักษณะของ bias และขนาดของ bias แต่ละประเภทได้ตามตารางที่ 1
จาก bias ที่กล่าวมานี้ การวิเคราะห์แรงกดดันด้านราคา โดยเฉพาะในช่วงที่อัตราเงินเฟ้อเร่งตัว ช่วงที่ห่างจากปีฐานมาก หรือช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องตระหนักว่า แรงกดดันด้านราคามีโอกาสที่จะต่ำกว่าที่สะท้อนด้วยตัวเลขอัตราเงินเฟ้อมากขึ้น
อนึ่ง เพื่อลด bias ของตัวเลขอัตราเงินเฟ้อ กระทรวงพาณิชย์จึงมีการปรับองค์ประกอบของตะกร้าดัชนีราคาผู้บริโภค หรืออีกนัยหนึ่งคือปรับปีฐานของดัชนีราคาผู้บริโภค เป็นประจำทุก 4-5 ปี ซึ่งมีผลทำให้ตะกร้าดัชนีราคาผู้บริโภคสะท้อนการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมการบริโภคของประชาชนได้ดีขึ้นในระดับหนึ่ง
2. การเปลี่ยนแปลงของราคาค่าเช่าบ้าน ค่าเช่าบ้านและค่าใช้จ่ายเพื่อที่อยู่อาศัยของผู้ที่เป็นเจ้าของบ้าน (Owner occupied housing) เป็นรายการที่มีน้ำหนักมากในตะกร้าดัชนีราคาผู้บริโภค ทำให้การเปลี่ยนแปลงของค่าเช่าส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อเป็นอย่างมาก โดยในกรณีของไทย ที่ผ่านมารายการค่าเช่าบ้านมีการเปลี่ยนแปลงราคาค่อนข้างน้อยมากเมื่อเทียบกับสินค้าและบริการอื่นๆ สาเหตุเนื่องจาก (1) กลุ่มตัวอย่างที่พักที่สำรวจไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง ซึ่งมีผลทำให้บ้านเช่าในกลุ่มตัวอย่างมีอายุมากขึ้น ตามปกติบ้านเก่ามีค่าเช่าต่ำกว่าบ้านใหม่ ดังนั้น ค่าเช่าที่เปลี่ยนแปลงน้อยส่วนหนึ่งเป็นการสะท้อนคุณภาพบ้านที่ต่ำลง และ (2) ผู้ให้เช่าไม่ค่อยขึ้นราคาค่าเช่าเนื่องจากไม่อยากสูญเสียลูกค้าที่ดี สาเหตุทั้งสองประการ ประกอบกับการที่ค่าเช่าเป็นรายการที่มีน้ำหนักมากที่สุดใน 417 รายการ (คิดเป็นร้อยละ 15.19) ของตะกร้าดัชนีราคาผู้บริโภค ทำให้ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อสะท้อนภาพแรงกดดันด้านราคาที่น้อยกว่าความเป็นจริง โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่หักรายการค่าเช่าเฉลี่ยร้อยละ 0.5
3. การดูแลราคาสินค้าและบริการของภาครัฐ การเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการที่อยู่ภายใต้การดูแลของภาครัฐอาจแตกต่างจากราคาสินค้าและบริการที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของภาครัฐ เนื่องจากวัตถุประสงค์ในการตั้งราคาของภาครัฐแตกต่างจากภาคเอกชนที่ตั้งราคาเพื่อให้ได้กำไรสูงสุด อาทิ ภาครัฐอาจต้องการดูแลค่าครองชีพของประชาชนไม่ให้สูงเกินไป หรือต้องการเพิ่มอัตราภาษีการบริโภคสินค้าบางชนิดที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น บุหรี่ เป็นต้น ทำให้ตัวเลขอัตราเงินเฟ้ออาจสะท้อนแรงกดดันด้านราคาที่สูงหรือต่ำกว่าที่เป็นจริงได้
สำหรับประเทศไทย มีหน่วยงานภาครัฐหลายแห่งทำหน้าที่ดูแลราคาสินค้าและบริการต่างๆ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ตามอำนาจหน้าที่และวัตถุประสงค์ในการดูแลราคา ได้แก่
(3.1) การดูแลสินค้าและบริการโดยกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เป็นการราคาสินค้าและบริการที่ดำเนินกิจการโดยเอกชนเป็นหลัก เพื่อป้องกันการกำหนดราคาอันไม่เป็นธรรม แม้การดูแลราคาของกรมการค้าภายในจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามกฎหมายที่ให้อำนาจในการดูแล คือ สินค้าควบคุม และสินค้าติดตามดูแลแต่เมื่อพิจารณาในแง่ผลของการดูแลต่อราคาของสินค้าและบริการทั้ง 2 ประเภท พบว่าไม่ได้แตกต่างกัน1ที่ผ่านมา ราคาสินค้าและบริการภายใต้การดูแลของกรมการค้าภายในเคลื่อนไหวใกล้เคียงกันกับราคาสินค้าและบริการที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลราคาของภาครัฐ ดังนั้น สินค้าและบริการที่อยู่ภายใต้การดูแลของกรมการค้าภายในจึงน่าจะไม่ค่อยกระทบกับการวิเคราะห์แรงกดดันด้านราคามากนัก แม้สัดส่วนของสินค้าที่อยู่ภายใต้การดูแลของกรมการค้าภายใน (เฉพาะที่ไม่ทับซ้อนกับการดูแลภายใต้หน่วยงานอื่น) มีน้ำหนักอยู่ถึงประมาณร้อยละ 17 ของตะกร้าดัชนีราคาผู้บริโภค
อย่างไรก็ดี ในบางช่วง เช่น ตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2553 ราคาสินค้าและบริการที่อยู่ภายใต้การดูแลของกรมการค้าภายในมีแนวโน้มชะลอลงสวนทางกับอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลราคาของภาครัฐ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบการตรึงราคาสินค้าและบริการตั้งแต่ปี 2552 จนถึงไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 โดยกระทรวง พาณิชย์ ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในระยะดังกล่าวสะท้อนแรงกดดันที่ต่ำกว่าที่เป็นจริง
(3.2) การดูแลสินค้าและบริการที่ดำเนินการโดยหน่วยงานภาครัฐอื่น ส่วนใหญ่เป็นสินค้าและบริการในกลุ่มสาธารณูปโภคพื้นฐานซึ่งอยู่ภายใต้การดำเนินการของหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือภาคเอกชนที่ได้รับสัมปทานจากภาครัฐ เช่น ค่าโดยสารรถประจำทาง ค่าไฟฟ้า ค่าประปา ค่าก๊าซหุงต้ม ค่ารักษาพยาบาล และค่าบริการทางการศึกษา เป็นต้น โดยการปรับราคาต้องได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี
ที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าและบริการภายใต้การดูแลของหน่วยงานอื่นจะแตกต่างจากราคาในส่วนที่อยู่นอกเหนือการดูแลอย่างชัดเจน ประกอบกับสัดส่วนของสินค้าที่อยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานรัฐอื่นๆ มีน้ำหนักพอสมควร คือ ประมาณร้อยละ 21 ของตะกร้าดัชนีราคาผู้บริโภค ทำให้การวิเคราะห์แรงกดดันด้านราคาสินค้าถูกบิดเบือนอย่างมีนัยสำคัญจากสินค้าและบริการที่อยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานภาครัฐอื่นตัวอย่างที่แสดงในภาพที่ 2 เช่น ในปี 2552 ที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบ อาจทำให้เข้าใจว่าเกิดภาวะเงินฝืด แต่ที่จริงเป็นผลจากราคาสินค้าและบริการที่อยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานภาครัฐอื่นเป็นสำคัญ ทั้งจากมาตรการเพื่อดูแลค่าครองชีพและจากนโยบายเรียนฟรี 15 ปี ที่ทำให้ค่าใช้จ่ายของประชาชนที่เกี่ยวข้องกับมาตรการและนโยบายดังกล่าวลดลง ขณะที่เมื่อพิจารณาสินค้าและบริการที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานภาครัฐอื่น อัตราเงินเฟ้อยังคงเป็นบวกเพียงแค่ชะลอลงเท่านั้น สะท้อนแรงกดดันด้านราคาที่อยู่ในระดับต่ำตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในขณะนั้น
4. ความผันผวนระยะสั้น (temporary price fluctuations หรือ transient noise)ในทางทฤษฎี อาจกล่าวได้ว่าอัตราเงินเฟ้อประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลัก คือ (1) แนวโน้มเงินเฟ้อ (underlying trend) ซึ่งสะท้อนแรงกดดันระดับ ราคา และ (2) ความผันผวนระยะสั้นที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อเหวี่ยงออกจากแนวโน้มเป็นเวลาชั่วคราวยกตัวอย่างเช่น ราคาผักที่สูงขึ้นเพราะผลผลิตเสียหายจากน้ำท่วม เมื่อสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลายลง ราคาผักก็จะกลับมาสู่แนวโน้มเงินเฟ้อเดิม
การแยกส่วนที่เป็นแนวโน้มกับความผันผวนระยะสั้นออกจากกันมีหลายวิธี โดยส่วนที่สะท้อนแนวโน้มเงินเฟ้อจะเรียกว่า เครื่องชี้แนวโน้มเงินเฟ้อ (Underlying inflation indicators) ซึ่งแต่ละประเภทมีข้อดีและข้อด้อยแตกต่างกันไป ตัวอย่างของเครื่องชี้แนวโน้มเงินเฟ้อ ได้แก่
(4.1) การหักรายการบางรายการออก (Fixed item exclusion) คือ ตัวชี้วัดแนวโน้มเงินเฟ้อที่สร้างจากการนำอัตราเงินเฟ้อทั่วไปไปหักบางรายการออก โดยปกติจะหักรายการที่มีความผันผวนสูงออกเนื่องจากสินค้าที่ราคาผันผวนสูงมักจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยชั่วคราวอยู่บ่อยๆ ตัวอย่างที่สำคัญ คือ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน(core inflation) ซึ่งเป็นตัวเลขที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศทุกเดือนพร้อมกับการประกาศอัตราเงินเฟ้อทั่วไป โดยคำนวณจากดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปหักกลุ่มราคาอาหารสดและพลังงานออก วิธีนี้มีข้อดีตรงที่เข้าใจง่าย และเป็นการหักรายการสินค้าในกลุ่มเดียวกันตลอดทุกช่วงระยะเวลาของข้อมูล ทำให้ไม่เกิดความสับสน แต่ข้อด้อยคือเราอาจจะสูญเสียข้อมูลที่เป็นแนวโน้มเงินเฟ้อที่อยู่ในรายการที่เราหักออก
(4.2) Trimmed mean คือ ตัวชี้วัดที่สร้างจากการพิจารณาถึงการกระจายตัวของการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าและบริการในแต่ละเดือน โดยนำอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคามาเรียงลำดับจากน้อยไปมาก จากนั้นเลือกตัดรายการที่มีอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคามากกว่ารายการอื่นๆ (ในช่วงหัวและท้ายของลำดับอัตราการเปลี่ยนแปลง) วิธี trimmed mean มีข้อดีตรงที่ช่วยหักราคาสินค้าที่มีความผันผวนมากในแต่ละเดือนออก ทั้งความผันผวนในด้านที่ราคาลดลงมากและเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นสินค้าเดียวกันตลอดเวลา ทำให้ลดความผันผวนของตัวชี้วัดได้ดีกว่า fixed item exclusion แต่ข้อด้อยคือ เข้าใจยาก เพราะต้องใช้ความรู้พื้นฐานทางสถิติ นอกจากนี้ ในกรณีที่สร้างเครื่องชี้วัดจากการเปลี่ยนแปลงของราคาเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ต้องมีการขจัดผลของฤดูกาลนั้น อาจมีการปรับข้อมูลย้อนหลังจากการคำนวณผลของฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงได้เมื่อมีข้อมูลใหม่เข้ามา รวมทั้งขนาดของการตัดรายการออกซึ่งกำหนดไว้คงที่ยังอาจทำให้ในบางครั้งมีการตัดรายการน้อยไป ทำให้หลงเหลือส่วนของความผันผวนระยะสั้นอยู่มาก ขณะที่ถ้าตัดรายการมากไปก็อาจทำให้สูญเสียของข้อมูลแนวโน้มเงินเฟ้อได้
(4.3) Factor analysis เป็นตัวชี้วัดที่สร้างจากแนวคิดว่า การเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าแต่ละรายการประกอบด้วยส่วนที่เป็นปัจจัยร่วม (common factor) และปัจจัยเฉพาะตัว (idiosyncratic shock) โดยเราสามารถใช้วิธีการทางเศรษฐมิติช่วยสกัดส่วนที่เป็นปัจจัยร่วมของการเปลี่ยนแปลงของราคาในทุกรายการออกจากส่วนที่เป็นปัจจัยเฉพาะของสินค้าแต่ละรายการ ข้อดีของเครื่องชี้ประเภทนี้คือ เป็นเครื่องชี้ที่ใช้ข้อมูลด้านการเปลี่ยนแปลงของราคาจากทุกรายการสินค้า ต่างจาก fixed item exclusion และ trimmed mean ที่ต้องตัดบางรายการออกและอาจจะทำให้สูญเสียข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มเงินเฟ้อได้ แต่ข้อเสียคือเข้าใจยาก เพราะต้องใช้ความรู้ทางเศรษฐมิติที่ซับซ้อนยิ่งกว่าเครื่องชี้แนวโน้มเงินเฟ้อประเภทอื่น
ภาพที่ 3 แสดงตัวอย่างการวิเคราะห์แรงกดดันเงินเฟ้อจากเครื่องชี้แนวโน้มเงินเฟ้อ 3 ตัวที่กล่าวมา ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่าในปี 2552 ที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบจากนโยบายดูแลค่าครองชีพและนโยบายเรียนฟรี 15 ปีตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ซึ่งเป็นปัจจัยชั่วคราว เครื่องชี้แนวโน้มเงินเฟ้อส่วนใหญ่สะท้อนแรงกดดันด้านราคาที่แค่ชะลอลงแต่ไม่ได้รุนแรงถึงระดับที่เกิดภาวะเงินฝืด
โดยสรุป หากเราวิเคราะห์แรงกดดันด้านราคาจากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศเพียงอย่างเดียว อาจทำให้การประเมินภาวะเศรษฐกิจคลาดเคลื่อน เพราะ bias จากวิธีการจัดทำดัชนีราคาผู้บริโภคทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปสะท้อนแรงกดดันที่สูงกว่าความเป็นจริงอยู่ประมาณร้อยละ 0.5 - 1.0 แต่ในขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงราคาค่าเช่าบ้านที่ต่ำต่อเนื่องทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปสะท้อนแรงกดดันที่ต่ำกว่าความเป็นจริง ซึ่งเมื่อหักกลบกันแล้ว โดยเฉลี่ยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะสะท้อนแรงกดดันด้านราคาที่สูงกว่าความเป็นจริงอยู่ประมาณร้อยละ 0 - 0.5 นอกจากนี้ การดูแลราคาสินค้าและบริการโดยภาครัฐและความผันผวนระยะสั้นอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อสะท้อนแรงกดดันด้านราคาที่สูงหรือต่ำกว่าความเป็นจริงได้แล้วแต่กรณี ดังนั้น ในการวิเคราะห์จึงต้องอาศัยความเข้าใจธรรมชาติของชุดข้อมูลและการใช้เครื่องชี้อื่นๆ ควบคู่กับการพิจารณาความเคลื่อนไหวของตัวเลขอัตราเงินเฟ้อ เพื่อช่วยให้การวิเคราะห์แรงกดดันด้านราคาครบถ้วนและแม่นยำมากขึ้น
*(1) สำหรับสินค้าควบคุม การกำหนดรายการสินค้าและบริการรวมถึงมาตรการควบคุมต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี มีการทบทวนรายการและมาตรการปีละครั้ง ขณะที่สินค้าติดตามดูแลอยู่ภายใต้อำนาจของกระทรวงพาณิชย์ โดยจะไม่มีการกำหนดมาตรการที่ชัดเจน แต่อาศัยการขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการ และมีการทบทวนรายการและมาตรการเดือนละครั้ง
เศรษฐกร ฝ่ายนโยบายการเงิน [email protected]
Cunningham, A.W.F. (1996), "Measurement Biases in Price Indexes: An Application to the UK's RPI", Bank of England Working Paper Series 47.
Diewert, E. and Denis Lawrence (1999), "Measuring New Zealand's Productivity", New Zealand Treasury Working Paper number 99/5
Hoffman, J. (1998), "Problems of Inflation Measurement in Germany", Discussion Paper 1/98, Economic Research Group of the Deutsche Bundesbank
Lebow, D.E. and Jeremy B. Rudd (2003), "Measurement Error in the Consumer Price Index: Where do we stand?", Journal of Economic Literature, Vol 41, pp.159-201
Lequiller, F. (1997), "Does the French Consumer Price Index Overstate Inflation?", INSEE Document de Travail G 9714.
Rossiter, J. (2005), "Measurement Bias in the Canadian Consumer Price Index", Bank of Canada Working Paper number 2005-39
United States General Accounting Office (2000), "Consumer Price Index, Update of Boskin Commission's Estimate of Bias", Report to the Senate Finance Committee.
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย