ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. สถาบันการเงินควรแยกบัญชีให้ชัดเจนในการปล่อยสินเชื่อตามนโยบายรัฐบาล นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพ
สถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า การที่รัฐบาลหันมาใช้ ธ.พาณิชย์ของรัฐหรือสถาบันการเงินเฉพาะกิจปล่อยกู้เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแทนการ
ใช้งบประมาณโดยตรงนั้น คาดว่าจะไม่สร้างความกดดันให้เกิดเอ็นพีแอลเพิ่มจนกระทบฐานะของระบบสถาบันการเงิน เนื่องจากสถาบันการเงิน
หรือ ธ.พาณิชย์ในปัจจุบันมีหลักเกณฑ์ในการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ชัดเจนกว่าในอดีต อย่างไรก็ตาม การปล่อยสินเชื่อตามนโยบายของ
รัฐบาลธนาคารควรแยกบัญชีที่ชัดเจนต่างหาก น่าจะดีกว่านำไปรวมกับสินเชื่อทั่วไป และควรมีการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ดีด้วย เพื่อลด
ปัญหาสินเชื่อกลายเป็นหนี้เสียในอนาคต รวมทั้งการจูงใจให้กู้ก็ควรดูความเสี่ยงด้วย ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 50 ธ.ออมสินมีเอ็นพีแอลประมาณร้อยละ 4.06
ของยอดสินเชื่อคงค้างกว่า 4.6 แสนล้านบาท ขณะที่โครงการธนาคารประชาชนมียอดหนี้เสียอยู่ที่ 1.2 พันล้านบาท หรือร้อยละ 16 ของยอด
สินเชื่อกว่า 6.8 พันล้านบาท ลดลงจากยอดสะสมที่สูงสุด 3.6 หมื่นล้านบาท ในช่วง 3 — 4 ปีก่อน ด้าน ธ.อาคารสงเคราะห์มีเอ็นพีแอล
ประมาณร้อยละ 5.5 ของยอดสินเชื่อรวม 5.7 แสนล้านบาท และ ธ.พัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมฯ มีเอ็นพีแอลร้อยละ 47 ของ
ยอดสินเชื่อคงค้าง 4.3 หมื่นล้านบาท (โพสต์ทูเดย์)
2. ธปท. หารือ ธ.พาณิชย์เกี่ยวกับแผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้และในอนาคต นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับ
สถาบันการเงิน ธปท. เปิดเผยว่า ธปท. ได้หารือกับ ธ.พาณิชย์ 17 แห่ง เกี่ยวกับแผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้และในอนาคต ซึ่งส่วนใหญ่จะ
มีการพูดถึงภาพรวมของระบบ ธ.พาณิชย์ในปัจจุบัน พร้อมทั้งหาแนวทางร่วมกันในการปรับปรุงระบบ ธ.พาณิชย์ เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
จึงได้ขอให้ ธ.พาณิชย์แต่ละแห่งกลับไปดำเนินการมามากกว่า และจะนำผลที่ได้มาประมวลผลในช่วงเดือน มี.ค.นี้อีกครั้ง สำหรับแนวทาง
ปรับปรุงการดำเนินธุรกิจของ ธ.พาณิชย์ในปีนี้จะเน้น 4 เรื่องหลัก ได้แก่ 1) ลดปัญหาเอ็นพีแอลและเอ็นพีเอของระบบสถาบันการเงิน โดย
ธปท. มองว่าปัจจุบันยอดคงค้างเอ็นพีแอลลดลงต่ำกว่าร้อยละ 10 ถือว่าน่าพอใจ แต่ ธ.พาณิชย์ควรเร่งดำเนินการให้ยอดลดลงให้มากกว่านี้
เพราะจะส่งผลดีต่องบการเงิน รวมทั้งสามารถเปลี่ยนต้นทุนการเสียโอกาสให้กลับมาเป็นรายได้ในอนาคต โดยในปัจจุบันสถาบันการเงินมียอด
คงค้างเอ็นพีแอลรวม 237,888 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4 และหากยังไม่ได้หักเงินสำรองเอ็นพีแอลจะมียอดรวม 457,866 ล้านบาท คิดเป็น
ร้อยละ 7.31 ซึ่ง ธปท. ได้เสนอให้ ธ.พาณิชย์ตัดหนี้สูญออกจากงบการเงินหลังจากได้มีการตั้งสำรองหนี้ก้อนนั้นเรียบร้อยแล้ว แต่ ธ.พาณิชย์
ส่วนใหญ่แย้งว่าหากทำเช่นนั้นจะยิ่งสร้างภาระเพราะต้องจ้างหน่วยงานใหม่มาดูแลหนี้เสียดังกล่าว ซึ่งมั่นใจว่าระบบที่ดำเนินการอยู่ดีพอแล้ว
2) การให้บริการบางประเภทที่มีความซับซ้อนของ ธ.พาณิชย์จะต้องไม่ละเลยข้อบังคับหรือมาตรฐานบางอย่าง ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ใดที่ซับซ้อนจะ
ต้องมีการขออนุญาต ธปท. ก่อน 3) แม้ ธ.พาณิชย์แต่ละแห่งจะมีการดำเนินธุรกิจที่แตกต่างกัน แต่ก็ต้องมีการปฏิบัติตามกฎของทางการ
พร้อมทั้งควบคุมภายในองค์กรให้ปฏิบัติตามกฎและคำสั่งของ ธปท. ด้วย จึงจำเป็นที่ ธ.พาณิชย์จะต้องยึดหลักธรรมาภิบาลที่ดี โดยเฉพาะ
ผู้บริหารระดับสูงหรือกรรมการเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และ 4) การทดสอบภาวะวิกฤตของระบบ ธ.พาณิชย์ ถือเป็นนโยบายหลักของ
ฝ่ายกำกับสถาบันการเงิน ธปท. ในปีนี้ เพื่อเป็นการทดสอบความแข็งแกร่งของสถาบันการเงิน รวมถึงความเพียงพอของฐานะและเงินกองทุน
ภายใต้สมมติฐานด้านเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงในด้านลบ แม้โอกาสที่จะเกิดขึ้นน้อยมาก แต่เมื่อเกิดขึ้นก็จะสร้างความรุนแรงอย่างมาก จึงต้อง
ดูความพร้อมและแผนรับมือปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ของสถาบันการเงินแต่ละแห่ง (ผู้จัดการรายวัน, แนวหน้า)
3. ธปท. กำลังศึกษาการจัดตั้งกองทุนบริหารเงินทุนสำรอง นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงิน ธปท. เปิดเผยว่า
ธปท. กำลังศึกษาเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนเพื่อบริหารเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ เนื่องจากในภาวะที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นจะสามารถนำเงิน
ไปลงทุนสินทรัพย์ต่างประเทศได้มากขึ้น ซึ่งในทางปฏิบัติหากมีการจัดตั้งกองทุนการบริหารทุนสำรองสามารถเริ่มต้นจัดตั้งกองทุนโดยใช้เงิน
ประมาณ 5,000 — 10,000 ล้านดอลลาร์ สรอ. ที่แบ่งมาจากส่วนของเงินทุนสำรองของฝ่ายกิจการธนาคารที่มีอยู่ประมาณร้อยละ 50 ของ
เงินทุนสำรองทั้งหมดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเริ่มด้วยการใช้เงินลงทุนจำนวนมาก ส่วนการบริหารผู้บริหารจะต้องมีแนวคิดในการบริหารต่างจากการ
บริหารเงินทุนสำรองปกติ โดยจะต้องคำนึงถึงปัจจัยผลตอบแทนระยะยาวเป็นอันดับแรก ขณะที่การบริหารเงินทุนสำรองจะต้องคำนึงถึงความ
ปลอดภัยเป็นอันดับแรก โดยความมีสภาพคล่องเป็นปัจจัยรองลงมา ส่วนผลตอบแทนเป็นสิ่งสุดท้าย นอกจากนี้ การบริหารกองทุนดังกล่าวยัง
ต้องการผู้บริหารที่มีความสามารถและมีวิสัยทัศน์ไกลเพราะจะคำนึงถึงผลตอบแทนในระยะยาว ซึ่งการลงทุนบางอย่างหากดูผลตอบแทนในระยะสั้น
อาจจะไม่ดี แต่สามารถให้ผลตอบแทนในระยะยาวได้ อย่างไรก็ตาม ธปท. จะต้องศึกษาแนวคิดการจัดตั้งกองทุนอย่างรอบคอบ เพราะหลาย
ประเทศที่มีกองทุนบริหารเงินทุนสำรองก็ไม่ได้มีกำไรทั้งหมด สำหรับ พรบ.ธปท. ฉบับล่าสุดที่เพิ่งมีผลบังคับใช้ยังไม่รองรับกับการจัดตั้งกองทุน
บริหารเงินสำรองดังกล่าว โดยอนุญาตให้ ธปท. สามารถนำเงินทุนสำรองในส่วนของฝ่ายกิจการธนาคารที่มีประมาณร้อยละ 50 ของเงินทุน
สำรองทั้งหมดลงทุนได้เฉพาะสินทรัพย์ประเภทตราสารต่างประเทศเท่านั้น ส่วนประเภทสินทรัพย์ที่ ธปท. สามารถลงทุนเพิ่มคือตราสารที่ออก
โดยบริษัทเอกชน จากเดิมที่กำหนดให้ลงทุนได้เฉพาะตราสารที่ออกโดยรัฐบาลต่างประเทศหรือรัฐบาลต่างประเทศค้ำประกัน หรือตราสารที่ออก
โดยองค์กรระหว่างประเทศที่ไทยเป็นสมาชิกอยู่เท่านั้น (กรุงเทพธุรกิจ)
4. การนำมาตรการภาษีมากระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงนี้ถือว่าเหมาะสม ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรอง นรม. และ รมว.คลัง
กล่าวว่า การนำมาตรการทางภาษีของรัฐบาลมากระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะในช่วงที่ราคาน้ำมันแพงและราคา
สินค้าอื่น ๆ สูงขึ้น มาตรการนี้จะช่วยให้ประชาชนเหลือเงินมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ส่วนการเดินหน้าโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาลจะช่วยให้
เศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 6 หรือไม่คงไม่มีใครสามารถบอกได้ แต่จะมีเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น (โพสต์ทูเดย์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่ม OECD ในเดือน ม.ค. ลดลง รายงานจากปารีส เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 51 องค์การ
เพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Cooperation and Development — OECD) เปิดเผยว่า
ดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่ม OECD ซึ่งมีสมาชิก 30 ประเทศทั่วโลก ในเดือน ม.ค. อยู่ที่ระดับ 98.9 ชะลอตัวลงจากระดับ 99.1
ในเดือน ธ.ค. เช่นเดียวกับดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจของประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศในเดือน ม.ค. ชะลอตัวลงอยู่ที่ระดับ 98.5 จาก
ระดับ 98.9 ในเดือน ธ.ค. ส่วนใหญ่เนื่องจากดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจของ สรอ. ที่ลดลงอย่างมากในเดือน ม.ค. อยู่ที่ระดับ 99.0 จาก
ระดับ 99.9 ในเดือน ธ.ค. สำหรับญี่ปุ่นดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจกลับเพิ่มขึ้นที่ระดับ 97.0 ในเดือน ม.ค. จากระดับ 96.3 ในเดือน ธ.ค.
อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบต่อปีดัชนีดังกล่าวกลับลดลง 4.4 จุด ชะลอตัวลงมากที่สุด ทั้งนี้ OECD กล่าวว่าภาพรวมภาวะเศรษฐกิจไม่สดใส ตัวเลข
ดัชนีรวมบ่งชี้ว่าภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว (รอยเตอร์)
2. ผลผลิตอุตสาหกรรมของเยอรมนีในเดือน ม.ค.51 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 เทียบต่อเดือน เหนือความคาดหมายอย่างมาก
รายงานจากเบอร์ลินเมื่อ 7 มี.ค.51 ก.เศรษฐกิจเยอรมนี เปิดเผยว่า ผลผลิตอุตสาหกรรม(หลังปรับฤดูกาล)ของเยอรมนีในเดือน ม.ค.51
เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 เทียบต่อเดือน เหนือความคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.4 เป็นผลจากการเพิ่มขึ้น
อย่างแข็งแกร่งของผลผลิตภาคการก่อสร้างและผลผลิตโรงงาน โดยผลผลิตภาคการก่อสร้างเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.7 เช่นเดียวกับผลผลิตโรงงาน
ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 อันเป็นผลจากผลผลิตสินค้าทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 บ่งชี้การเริ่มต้นอย่างมีเสถียรภาพของเศรษฐกิจเยอรมนีในปีนี้
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนกลับมีความกังวลเกี่ยวกับผลผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่ลดลงร้อยละ 0.6 ว่าอาจสะท้อนถึงภาวะชะลอตัว
ของความต้องการในประเทศ ประกอบกับยอดขายปลีกซึ่ง ธ.กลางเยอรมนีเปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วลดลงร้อยละ 1.3 นับเป็นการตอกย้ำ
ความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของภาคการใช้จ่ายในประเทศ แม้ว่าภาคแรงงานจะสะท้อนภาพที่ดี โดยการว่างงานลดลงอย่างต่อเนื่องใน
รอบกว่า 2 ปีที่ผ่านมาก็ตาม (รอยเตอร์)
3. อัตราเงินเฟ้อในเดือน ก.พ. ของจีนอาจสูงกว่าเดือน ม.ค. รายงานจากปักกิ่ง เมื่อวันที่ 8 มี.ค. 51 นาย Xie Fuzhan
กรรมาธิการสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนเปิดเผยว่า ในเดือน ก.พ. อัตราเงินเฟ้ออาจจะสูงกว่าร้อยละ 7.1 ในเดือน ม.ค. ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด
ในรอบ 11 ปีของจีน เนื่องจากอากาศหนาวที่เลวร้ายที่สุดในจีนได้ส่งผลกระทบต่อดัชนีราคาผู้บริโภค อย่างไรก็ตามอัตราเงินเฟ้อทั้งปียังคงอยู่
ในเป้าหมายเงินเฟ้อที่ทางการจีนกำหนดไว้ โดยอัตราเงินเฟ้อเมื่อปีที่แล้วอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 4.8 ซึ่งบรรลุที่ทางการได้กำหนดไว้เมื่อปีที่แล้ว
สำหรับปีนี้ทางการจีนจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินอย่างเข้มงวด และหากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงกว่าร้อยละ 5.0 เชื่อว่าทางการต้อง
ดำเนินมาตรการบางอย่างเพื่อควบคุมระดับราคามิให้สูงขึ้น ทั้งนี้จากผลการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์จำนวน 19 คนโดยรอยเตอร์คาดว่าอัตรา
เงินเฟ้อในเดือน ก.พ. จะอยู่ที่ร้อยละ 8.0 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 7.1 ในเดือน ม.ค. และคาดว่าในสัปดาห์หน้าทางการจีนจะประกาศตัวเลข
อัตราเงินเฟ้อของเดือน ก.พ. (รอยเตอร์)
4. ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมของมาเลเซียในเดือน ม.ค.51 เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.0 เทียบต่อปี ขยายตัวสูงสุดในรอบ 14 เดือน
รายงานจากกัวลาลัมเปอร์เมื่อ 7 มี.ค.51 ทางการมาเลเซีย เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมของมาเลเซียในเดือน ม.ค.51 เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 7.0 เทียบต่อปี สูงกว่าความคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.0 และเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ
14 เดือน นับตั้งแต่เดือน พ.ย.49 ที่ดัชนีเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.2 โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของผลผลิตโรงงานที่มีสัดส่วนเป็น 2 ใน 3
ของผลผลิตอุตสาหกรรมโดยรวมและขยายตัวถึงร้อยละ 7.8 ประกอบกับผลผลิตเหมืองแร่ และการผลิตกระแสไฟฟ้า ขยายตัวร้อยละ 4.0
และ 7.5 เทียบต่อปี ตามลำดับ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 10 มี.ค. 51 7 มี.ค. 51 28 ธ.ค. 50 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 31.542 33.747 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 31.3394/31.6701 33.5519/33.8850 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.25875 3.35406 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 821.57/14.52 858.10/17.36 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 14,500/14,600 14,600/14,700 13,100/13,200 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 96.33 95.74 88.13 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 33.59*/29.94* 33.59*/29.94* 32.89/29.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 28 ก.พ. 51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. สถาบันการเงินควรแยกบัญชีให้ชัดเจนในการปล่อยสินเชื่อตามนโยบายรัฐบาล นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพ
สถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า การที่รัฐบาลหันมาใช้ ธ.พาณิชย์ของรัฐหรือสถาบันการเงินเฉพาะกิจปล่อยกู้เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแทนการ
ใช้งบประมาณโดยตรงนั้น คาดว่าจะไม่สร้างความกดดันให้เกิดเอ็นพีแอลเพิ่มจนกระทบฐานะของระบบสถาบันการเงิน เนื่องจากสถาบันการเงิน
หรือ ธ.พาณิชย์ในปัจจุบันมีหลักเกณฑ์ในการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ชัดเจนกว่าในอดีต อย่างไรก็ตาม การปล่อยสินเชื่อตามนโยบายของ
รัฐบาลธนาคารควรแยกบัญชีที่ชัดเจนต่างหาก น่าจะดีกว่านำไปรวมกับสินเชื่อทั่วไป และควรมีการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ดีด้วย เพื่อลด
ปัญหาสินเชื่อกลายเป็นหนี้เสียในอนาคต รวมทั้งการจูงใจให้กู้ก็ควรดูความเสี่ยงด้วย ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 50 ธ.ออมสินมีเอ็นพีแอลประมาณร้อยละ 4.06
ของยอดสินเชื่อคงค้างกว่า 4.6 แสนล้านบาท ขณะที่โครงการธนาคารประชาชนมียอดหนี้เสียอยู่ที่ 1.2 พันล้านบาท หรือร้อยละ 16 ของยอด
สินเชื่อกว่า 6.8 พันล้านบาท ลดลงจากยอดสะสมที่สูงสุด 3.6 หมื่นล้านบาท ในช่วง 3 — 4 ปีก่อน ด้าน ธ.อาคารสงเคราะห์มีเอ็นพีแอล
ประมาณร้อยละ 5.5 ของยอดสินเชื่อรวม 5.7 แสนล้านบาท และ ธ.พัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมฯ มีเอ็นพีแอลร้อยละ 47 ของ
ยอดสินเชื่อคงค้าง 4.3 หมื่นล้านบาท (โพสต์ทูเดย์)
2. ธปท. หารือ ธ.พาณิชย์เกี่ยวกับแผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้และในอนาคต นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับ
สถาบันการเงิน ธปท. เปิดเผยว่า ธปท. ได้หารือกับ ธ.พาณิชย์ 17 แห่ง เกี่ยวกับแผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้และในอนาคต ซึ่งส่วนใหญ่จะ
มีการพูดถึงภาพรวมของระบบ ธ.พาณิชย์ในปัจจุบัน พร้อมทั้งหาแนวทางร่วมกันในการปรับปรุงระบบ ธ.พาณิชย์ เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
จึงได้ขอให้ ธ.พาณิชย์แต่ละแห่งกลับไปดำเนินการมามากกว่า และจะนำผลที่ได้มาประมวลผลในช่วงเดือน มี.ค.นี้อีกครั้ง สำหรับแนวทาง
ปรับปรุงการดำเนินธุรกิจของ ธ.พาณิชย์ในปีนี้จะเน้น 4 เรื่องหลัก ได้แก่ 1) ลดปัญหาเอ็นพีแอลและเอ็นพีเอของระบบสถาบันการเงิน โดย
ธปท. มองว่าปัจจุบันยอดคงค้างเอ็นพีแอลลดลงต่ำกว่าร้อยละ 10 ถือว่าน่าพอใจ แต่ ธ.พาณิชย์ควรเร่งดำเนินการให้ยอดลดลงให้มากกว่านี้
เพราะจะส่งผลดีต่องบการเงิน รวมทั้งสามารถเปลี่ยนต้นทุนการเสียโอกาสให้กลับมาเป็นรายได้ในอนาคต โดยในปัจจุบันสถาบันการเงินมียอด
คงค้างเอ็นพีแอลรวม 237,888 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4 และหากยังไม่ได้หักเงินสำรองเอ็นพีแอลจะมียอดรวม 457,866 ล้านบาท คิดเป็น
ร้อยละ 7.31 ซึ่ง ธปท. ได้เสนอให้ ธ.พาณิชย์ตัดหนี้สูญออกจากงบการเงินหลังจากได้มีการตั้งสำรองหนี้ก้อนนั้นเรียบร้อยแล้ว แต่ ธ.พาณิชย์
ส่วนใหญ่แย้งว่าหากทำเช่นนั้นจะยิ่งสร้างภาระเพราะต้องจ้างหน่วยงานใหม่มาดูแลหนี้เสียดังกล่าว ซึ่งมั่นใจว่าระบบที่ดำเนินการอยู่ดีพอแล้ว
2) การให้บริการบางประเภทที่มีความซับซ้อนของ ธ.พาณิชย์จะต้องไม่ละเลยข้อบังคับหรือมาตรฐานบางอย่าง ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ใดที่ซับซ้อนจะ
ต้องมีการขออนุญาต ธปท. ก่อน 3) แม้ ธ.พาณิชย์แต่ละแห่งจะมีการดำเนินธุรกิจที่แตกต่างกัน แต่ก็ต้องมีการปฏิบัติตามกฎของทางการ
พร้อมทั้งควบคุมภายในองค์กรให้ปฏิบัติตามกฎและคำสั่งของ ธปท. ด้วย จึงจำเป็นที่ ธ.พาณิชย์จะต้องยึดหลักธรรมาภิบาลที่ดี โดยเฉพาะ
ผู้บริหารระดับสูงหรือกรรมการเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และ 4) การทดสอบภาวะวิกฤตของระบบ ธ.พาณิชย์ ถือเป็นนโยบายหลักของ
ฝ่ายกำกับสถาบันการเงิน ธปท. ในปีนี้ เพื่อเป็นการทดสอบความแข็งแกร่งของสถาบันการเงิน รวมถึงความเพียงพอของฐานะและเงินกองทุน
ภายใต้สมมติฐานด้านเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงในด้านลบ แม้โอกาสที่จะเกิดขึ้นน้อยมาก แต่เมื่อเกิดขึ้นก็จะสร้างความรุนแรงอย่างมาก จึงต้อง
ดูความพร้อมและแผนรับมือปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ของสถาบันการเงินแต่ละแห่ง (ผู้จัดการรายวัน, แนวหน้า)
3. ธปท. กำลังศึกษาการจัดตั้งกองทุนบริหารเงินทุนสำรอง นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงิน ธปท. เปิดเผยว่า
ธปท. กำลังศึกษาเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนเพื่อบริหารเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ เนื่องจากในภาวะที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นจะสามารถนำเงิน
ไปลงทุนสินทรัพย์ต่างประเทศได้มากขึ้น ซึ่งในทางปฏิบัติหากมีการจัดตั้งกองทุนการบริหารทุนสำรองสามารถเริ่มต้นจัดตั้งกองทุนโดยใช้เงิน
ประมาณ 5,000 — 10,000 ล้านดอลลาร์ สรอ. ที่แบ่งมาจากส่วนของเงินทุนสำรองของฝ่ายกิจการธนาคารที่มีอยู่ประมาณร้อยละ 50 ของ
เงินทุนสำรองทั้งหมดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเริ่มด้วยการใช้เงินลงทุนจำนวนมาก ส่วนการบริหารผู้บริหารจะต้องมีแนวคิดในการบริหารต่างจากการ
บริหารเงินทุนสำรองปกติ โดยจะต้องคำนึงถึงปัจจัยผลตอบแทนระยะยาวเป็นอันดับแรก ขณะที่การบริหารเงินทุนสำรองจะต้องคำนึงถึงความ
ปลอดภัยเป็นอันดับแรก โดยความมีสภาพคล่องเป็นปัจจัยรองลงมา ส่วนผลตอบแทนเป็นสิ่งสุดท้าย นอกจากนี้ การบริหารกองทุนดังกล่าวยัง
ต้องการผู้บริหารที่มีความสามารถและมีวิสัยทัศน์ไกลเพราะจะคำนึงถึงผลตอบแทนในระยะยาว ซึ่งการลงทุนบางอย่างหากดูผลตอบแทนในระยะสั้น
อาจจะไม่ดี แต่สามารถให้ผลตอบแทนในระยะยาวได้ อย่างไรก็ตาม ธปท. จะต้องศึกษาแนวคิดการจัดตั้งกองทุนอย่างรอบคอบ เพราะหลาย
ประเทศที่มีกองทุนบริหารเงินทุนสำรองก็ไม่ได้มีกำไรทั้งหมด สำหรับ พรบ.ธปท. ฉบับล่าสุดที่เพิ่งมีผลบังคับใช้ยังไม่รองรับกับการจัดตั้งกองทุน
บริหารเงินสำรองดังกล่าว โดยอนุญาตให้ ธปท. สามารถนำเงินทุนสำรองในส่วนของฝ่ายกิจการธนาคารที่มีประมาณร้อยละ 50 ของเงินทุน
สำรองทั้งหมดลงทุนได้เฉพาะสินทรัพย์ประเภทตราสารต่างประเทศเท่านั้น ส่วนประเภทสินทรัพย์ที่ ธปท. สามารถลงทุนเพิ่มคือตราสารที่ออก
โดยบริษัทเอกชน จากเดิมที่กำหนดให้ลงทุนได้เฉพาะตราสารที่ออกโดยรัฐบาลต่างประเทศหรือรัฐบาลต่างประเทศค้ำประกัน หรือตราสารที่ออก
โดยองค์กรระหว่างประเทศที่ไทยเป็นสมาชิกอยู่เท่านั้น (กรุงเทพธุรกิจ)
4. การนำมาตรการภาษีมากระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงนี้ถือว่าเหมาะสม ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรอง นรม. และ รมว.คลัง
กล่าวว่า การนำมาตรการทางภาษีของรัฐบาลมากระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะในช่วงที่ราคาน้ำมันแพงและราคา
สินค้าอื่น ๆ สูงขึ้น มาตรการนี้จะช่วยให้ประชาชนเหลือเงินมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ส่วนการเดินหน้าโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาลจะช่วยให้
เศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 6 หรือไม่คงไม่มีใครสามารถบอกได้ แต่จะมีเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น (โพสต์ทูเดย์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่ม OECD ในเดือน ม.ค. ลดลง รายงานจากปารีส เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 51 องค์การ
เพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Cooperation and Development — OECD) เปิดเผยว่า
ดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่ม OECD ซึ่งมีสมาชิก 30 ประเทศทั่วโลก ในเดือน ม.ค. อยู่ที่ระดับ 98.9 ชะลอตัวลงจากระดับ 99.1
ในเดือน ธ.ค. เช่นเดียวกับดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจของประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศในเดือน ม.ค. ชะลอตัวลงอยู่ที่ระดับ 98.5 จาก
ระดับ 98.9 ในเดือน ธ.ค. ส่วนใหญ่เนื่องจากดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจของ สรอ. ที่ลดลงอย่างมากในเดือน ม.ค. อยู่ที่ระดับ 99.0 จาก
ระดับ 99.9 ในเดือน ธ.ค. สำหรับญี่ปุ่นดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจกลับเพิ่มขึ้นที่ระดับ 97.0 ในเดือน ม.ค. จากระดับ 96.3 ในเดือน ธ.ค.
อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบต่อปีดัชนีดังกล่าวกลับลดลง 4.4 จุด ชะลอตัวลงมากที่สุด ทั้งนี้ OECD กล่าวว่าภาพรวมภาวะเศรษฐกิจไม่สดใส ตัวเลข
ดัชนีรวมบ่งชี้ว่าภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว (รอยเตอร์)
2. ผลผลิตอุตสาหกรรมของเยอรมนีในเดือน ม.ค.51 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 เทียบต่อเดือน เหนือความคาดหมายอย่างมาก
รายงานจากเบอร์ลินเมื่อ 7 มี.ค.51 ก.เศรษฐกิจเยอรมนี เปิดเผยว่า ผลผลิตอุตสาหกรรม(หลังปรับฤดูกาล)ของเยอรมนีในเดือน ม.ค.51
เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 เทียบต่อเดือน เหนือความคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.4 เป็นผลจากการเพิ่มขึ้น
อย่างแข็งแกร่งของผลผลิตภาคการก่อสร้างและผลผลิตโรงงาน โดยผลผลิตภาคการก่อสร้างเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.7 เช่นเดียวกับผลผลิตโรงงาน
ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 อันเป็นผลจากผลผลิตสินค้าทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 บ่งชี้การเริ่มต้นอย่างมีเสถียรภาพของเศรษฐกิจเยอรมนีในปีนี้
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนกลับมีความกังวลเกี่ยวกับผลผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่ลดลงร้อยละ 0.6 ว่าอาจสะท้อนถึงภาวะชะลอตัว
ของความต้องการในประเทศ ประกอบกับยอดขายปลีกซึ่ง ธ.กลางเยอรมนีเปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วลดลงร้อยละ 1.3 นับเป็นการตอกย้ำ
ความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของภาคการใช้จ่ายในประเทศ แม้ว่าภาคแรงงานจะสะท้อนภาพที่ดี โดยการว่างงานลดลงอย่างต่อเนื่องใน
รอบกว่า 2 ปีที่ผ่านมาก็ตาม (รอยเตอร์)
3. อัตราเงินเฟ้อในเดือน ก.พ. ของจีนอาจสูงกว่าเดือน ม.ค. รายงานจากปักกิ่ง เมื่อวันที่ 8 มี.ค. 51 นาย Xie Fuzhan
กรรมาธิการสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนเปิดเผยว่า ในเดือน ก.พ. อัตราเงินเฟ้ออาจจะสูงกว่าร้อยละ 7.1 ในเดือน ม.ค. ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด
ในรอบ 11 ปีของจีน เนื่องจากอากาศหนาวที่เลวร้ายที่สุดในจีนได้ส่งผลกระทบต่อดัชนีราคาผู้บริโภค อย่างไรก็ตามอัตราเงินเฟ้อทั้งปียังคงอยู่
ในเป้าหมายเงินเฟ้อที่ทางการจีนกำหนดไว้ โดยอัตราเงินเฟ้อเมื่อปีที่แล้วอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 4.8 ซึ่งบรรลุที่ทางการได้กำหนดไว้เมื่อปีที่แล้ว
สำหรับปีนี้ทางการจีนจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินอย่างเข้มงวด และหากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงกว่าร้อยละ 5.0 เชื่อว่าทางการต้อง
ดำเนินมาตรการบางอย่างเพื่อควบคุมระดับราคามิให้สูงขึ้น ทั้งนี้จากผลการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์จำนวน 19 คนโดยรอยเตอร์คาดว่าอัตรา
เงินเฟ้อในเดือน ก.พ. จะอยู่ที่ร้อยละ 8.0 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 7.1 ในเดือน ม.ค. และคาดว่าในสัปดาห์หน้าทางการจีนจะประกาศตัวเลข
อัตราเงินเฟ้อของเดือน ก.พ. (รอยเตอร์)
4. ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมของมาเลเซียในเดือน ม.ค.51 เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.0 เทียบต่อปี ขยายตัวสูงสุดในรอบ 14 เดือน
รายงานจากกัวลาลัมเปอร์เมื่อ 7 มี.ค.51 ทางการมาเลเซีย เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมของมาเลเซียในเดือน ม.ค.51 เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 7.0 เทียบต่อปี สูงกว่าความคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.0 และเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ
14 เดือน นับตั้งแต่เดือน พ.ย.49 ที่ดัชนีเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.2 โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของผลผลิตโรงงานที่มีสัดส่วนเป็น 2 ใน 3
ของผลผลิตอุตสาหกรรมโดยรวมและขยายตัวถึงร้อยละ 7.8 ประกอบกับผลผลิตเหมืองแร่ และการผลิตกระแสไฟฟ้า ขยายตัวร้อยละ 4.0
และ 7.5 เทียบต่อปี ตามลำดับ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 10 มี.ค. 51 7 มี.ค. 51 28 ธ.ค. 50 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 31.542 33.747 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 31.3394/31.6701 33.5519/33.8850 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.25875 3.35406 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 821.57/14.52 858.10/17.36 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 14,500/14,600 14,600/14,700 13,100/13,200 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 96.33 95.74 88.13 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 33.59*/29.94* 33.59*/29.94* 32.89/29.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 28 ก.พ. 51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--