30 สิงหาคม 2544เรียน ผู้จัดการ สำนักงานวิเทศธนกิจทุกธนาคาร ที่ สนส.(11)ว. 381 /2544 เรื่อง ขอบเขตการประกอบกิจการวิเทศธนกิจ ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกประกาศ ธปท. ฉบับใหม่ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ 7 สิงหาคม 2544 ซึ่งได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาฉบับประกาศทั่วไป เล่ม 118 ตอนพิเศษ 80ง วันที่ 17 สิงหาคม 2544 นั้น สาระสำคัญของประกาศดังกล่าวมีดังนี้ 1. ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ 9 มิถุนายน 2543 2. อนุญาตให้กิจการวิเทศธนกิจสามารถทำธุรกรรมการประกันความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยกับสถาบันการเงิน สำหรับเงินกู้และเงินให้กู้ยืมของตนเอง และรับประกันความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยสำหรับเงินให้กู้ยืมของตนเองแก่ลูกค้าในต่างประเทศ กิจการวิเทศธนกิจอื่น กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือลูกค้าในประเทศที่กิจการวิเทศธนกิจนั้นให้กู้ยืมเป็นเงินตราต่างประเทศ โดยธุรกรรมดังกล่าวจัดเป็นธุรกิจอื่นที่เกี่ยวกับหรือเนื่องจากกิจการวิเทศธนกิจในข้อ 15 (11) ของประกาศฉบับดังกล่าว จึงเรียนมาเพื่อทราบ และถือปฏิบัติ ขอแสดงความนับถือ (นายสามารถ บูรณวัฒนาโชค) ผู้อำนวยการอาวุโส สายนโยบายสถาบันการเงิน ผู้ว่าการแทน สิ่งที่ส่งมาด้วย: ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ฝ่ายนโยบายสถาบันการเงิน โทร. 0-2283-6877, 0-2283-5869 หมายเหตุ [ ] ธนาคารจะจัดให้มีการประชุมชี้แจงในวันที่…..เวลา………ณ……………. [ X ] ไม่มีการจัดประชุมชี้แจง ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจ ของธนาคารพาณิชย์ _______________________________________ เพื่อให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ 16 กันยายน 2535 อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 9 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติ การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 ธนาคารแห่งประเทศไทยออกข้อกำหนดดังต่อไปนี้ ข้อ 1. ให้ยกเลิกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ ลงวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2543 ข้อ 2. ธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการวิเทศธนกิจ ต้องแยกกิจการวิเทศธนกิจออกจากกิจการธนาคารพาณิชย์อื่นเสมือนหนึ่งเป็นคนละนิติบุคคล เช่น การแยกทรัพย์สิน เอกสาร หลักฐาน และบัญชี เป็นต้น ข้อ 3. ธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการวิเทศธนกิจ ต้องแยกกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศ และกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศออกจากกัน ข้อ 4. ห้ามมิให้กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์ใด ๆโอนเงินของกิจการให้แก่กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศที่เป็นกิจการของธนาคารพาณิชย์เดียวกันนั้น หรือให้กู้ยืม หรือฝากเงินกับกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศที่เป็นกิจการของธนาคารพาณิชย์อื่น ข้อ 5. ห้ามมิให้กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์ใด ๆ ชำระหนี้ตามภาระผูกพันอันเกิดจากการอาวัล รับรอง หรือค้ำประกันหนี้ใด ๆ แทนกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศที่เป็นกิจการของธนาคารพาณิชย์เดียวกันหรือของธนาคารพาณิชย์อื่น ข้อ 6. ในการประกอบกิจการวิเทศธนกิจ (1) เงินรับฝากและเงินกู้ยืมต้องมีแหล่งที่มาจากต่างประเทศ (2) การชำระคืนเงินรับฝาก เงินกู้ยืม และดอกเบี้ยของกิจการวิเทศธนกิจ ต้องกระทำในต่างประเทศ ในกรณีของกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศ การเบิกถอนเงินให้กู้ยืม การชำระคืนเงินให้กู้ยืมและดอกเบี้ย ต้องกระทำในต่างประเทศ และหากการชำระคืนเงินให้กู้ยืมและดอกเบี้ยดังกล่าวกระทำโดยบุคคลอื่นใดที่ไม่ใช่ผู้กู้ บุคคลนั้นต้องมีถิ่นที่อยู่นอกประเทศด้วย ความใน (1) และ (2) ไม่ใช้บังคับกรณีที่เป็นกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย ทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา หรือกิจการวิเทศธนกิจอื่น (3) การเบิกถอนเงินให้กู้ยืมจากกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศของผู้กู้แต่ละรายต้องมีจำนวนครั้งละไม่ต่ำกว่า 2,000,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า เว้นแต่เป็นการเบิกถอนโดยสถาบันการเงิน หรือเป็นการเบิกถอนงวดสุดท้าย หรือเป็นกรณีที่มียอดคงค้างที่เบิกถอนไปแล้วไม่ต่ำกว่า 2,000,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า หรือเป็นกรณีการให้กู้ยืมอันเนื่องมาจากการปรับโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ในการให้กู้ยืมดังกล่าวจะต้องเป็นผลมาจากสัญญากู้ยืมเดิม การเบิกถอนเงินให้กู้ยืมจากกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศของผู้กู้แต่ละรายที่เป็นผู้ส่งออกที่มีรายได้จากการส่งออกเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้นในรอบระยะเวลาบัญชีก่อน หรือเป็นลูกค้าที่มีรายได้เกินกว่าครึ่งหนึ่งจากการขายหรือให้บริการแก่ผู้ส่งออกซึ่งมีรายได้จากการส่งออกเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้นในรอบระยะเวลาบัญชีก่อน ต้องมีจำนวนครั้งละไม่ต่ำกว่า 500,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า เว้นแต่เป็นการเบิกถอนงวดสุดท้าย หรือเป็นกรณีที่มียอดคงค้างที่เบิกถอนไปแล้วไม่ต่ำกว่า 500,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า (4) การทำธุรกรรมต่าง ๆ ระหว่างกิจการวิเทศธนกิจกับลูกค้า กิจการ วิเทศธนกิจต้องดำเนินการให้ลูกค้าให้ชื่อ ที่อยู่ และข้อมูลที่แท้จริง และในการจัดทำเอกสารหรือหลักฐานใด ๆ ที่เกี่ยวกับลูกค้า กิจการวิเทศธนกิจต้องจัดทำเอกสารหรือหลักฐานดังกล่าวให้ตรงต่อความเป็นจริง (5) ห้ามรับฝากเงินที่ใช้เช็คในการเบิกถอนเงิน (6) การรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกันการชำระหนี้ให้แก่กิจการ วิเทศธนกิจอื่นต้องระบุให้ชัดเจนว่าเป็นการรับรอง รับอาวัล หรือค้ำประกันให้แก่กิจการส่วนใดของกิจการวิเทศธนกิจอื่นนั้น (7) รายรับจากการประกอบธุรกิจของกิจการวิเทศธนกิจต้องเป็นเงินตราต่างประเทศ เว้นแต่เป็นรายรับจากกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมเงินบาทในต่างประเทศ หรือรายรับจากธุรกิจตามข้อ 15. ข้อ 7. ให้กิจการวิเทศธนกิจสามารถรับโอนสินทรัพย์ หนี้สิน หรือกิจการต่าง ๆ ที่เกิดจากการประกอบธุรกิจที่มีลักษณะเช่นเดียวกับกิจการวิเทศธนกิจ จากกิจการส่วนอื่นของธนาคารพาณิชย์ที่เป็นเจ้าของกิจการวิเทศธนกิจนั้น ๆ ได้ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน นับแต่วันเริ่มประกอบกิจการวิเทศธนกิจ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นอย่างอื่น และให้กิจการวิเทศธนกิจแจ้งการรับโอนตามวรรคหนึ่งให้บรรดาลูกหนี้ของธุรกิจที่รับโอนดังกล่าวทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 15 วัน ก่อนวันรับโอน ข้อ 8. กิจการวิเทศธนกิจอาจมีสินทรัพย์ซึ่งเป็นเงินบาทไว้ในประเทศไทยได้ ดังต่อไปนี้ (1) สินทรัพย์เพื่อการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตามมาตรา 11 ตรี (2) สินทรัพย์ที่สำรองไว้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจในมูลค่าไม่เกิน 200 ล้านบาท ในรูปของสินทรัพย์ดังต่อไปนี้ 1) สถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจ หรือสำหรับพนักงานและลูกจ้าง รวมทั้งเครื่องใช้สำนักงานต่าง ๆ โดยหักค่าเสื่อมราคาตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบ 2) หลักทรัพย์รัฐบาลไทย หรือหลักทรัพย์ที่รัฐบาลไทยค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย ให้คำนวณตามราคาตลาดหรือราคาทุนแล้วแต่ราคาใดจะต่ำกว่า 3) หุ้นกู้ที่ไม่อาจแปลงสภาพแห่งสิทธิเป็นหุ้นได้ บัตรเงินฝาก หรือตราสารแห่งหนี้ ซึ่งออกโดยนิติบุคคลหรือสถาบันการเงินที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยและเสนอขายในประเทศไทย ให้คำนวณตามราคาตลาดหรือราคาทุนแล้วแต่ราคาใดจะต่ำกว่า 4) เงินสดหรือบัญชีเงินฝากที่เป็นเงินบาทกับสถาบันการเงินในประเทศไทย 5) เงินทดรองจ่ายแก่พนักงาน ค่าใช้จ่ายล่วงหน้าเกี่ยวกับการดำเนินงานและเงินค่ามัดจำ (3) สินทรัพย์ที่ออกโดยสถาบันการเงินตามโครงการรับแลกเปลี่ยน ตราสารที่ออกโดยบริษัทเงินทุน หรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ทางการมีคำสั่งให้ระงับการดำเนินกิจการชั่วคราว (4) พันธบัตรรัฐบาลกรณีพิเศษ (5) เงินลงทุนในหุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ หรือใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้น ของนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทย ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม อันเนื่องมาจากการ ปรับโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย ข้อ 9. กิจการวิเทศธนกิจอาจเปลี่ยนเงินบาทเป็นเงินตราต่างประเทศ หรือเงินตราต่างประเทศเป็นเงินบาทได้ ในกรณีดังต่อไปนี้ (1) เปลี่ยนเงินบาท ซึ่งเป็นผลกำไรหลังหักภาษี ณ สิ้นงวดบัญชี เพื่อส่งผลกำไรนั้นกลับไปยังกิจการส่วนอื่นของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศที่เป็นเจ้าของกิจการวิเทศธนกิจ ทั้งนี้ กิจการส่วนอื่นนั้นต้องอยู่ในต่างประเทศด้วย (2) เปลี่ยนเงินบาทที่เกิดจากการจำหน่ายสินทรัพย์ตามข้อ 8. หรือที่เกิดจากการจำหน่ายสินทรัพย์ที่ได้มาจากการชำระหนี้ เพื่อนำกลับไปประกอบธุรกรรมตามข้อ 11. (3) เปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเพื่อสำรองไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจตามข้อ 8. หรือเพื่อการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตามมาตรา 11 ตรี และเปลี่ยนเงินบาทจากการลดยอดของสินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงตามมาตรา 11 ตรี เพื่อนำกลับไปประกอบธุรกรรมตามข้อ 11. รวมทั้งการทำสัญญาประกันความเสี่ยงสำหรับจำนวนเงินที่ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องดังกล่าว (4) เปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เพื่อปฏิบัติตามโครงการรับแลกเปลี่ยน ตราสารที่ออกโดยบริษัทเงินทุน หรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ทางการมีคำสั่งให้ระงับการดำเนินกิจการชั่วคราว และเปลี่ยนเงินบาทเพื่อนำกลับไปประกอบธุรกรรมตามข้อ 11. การเปลี่ยนเงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศตามวรรคหนึ่ง ให้กระทำได้กับธนาคารรับอนุญาตตามกฎหมายควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินในส่วนที่ไม่ใช่กิจการวิเทศธนกิจ ข้อ 10. สินทรัพย์ที่ได้มาจากการชำระหนี้ของกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศ หรือกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศให้ถือว่าเป็นสินทรัพย์ของ กิจการวิเทศธนกิจนั้น ๆ แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ ในกรณีที่สินทรัพย์ที่ได้มาจากการชำระหนี้เป็นเงินบาท สินทรัพย์นั้นไม่ให้นับรวมเป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์ที่เป็นเงินบาทที่กิจการวิเทศธนกิจพึงมีได้ตามข้อ 8. สินทรัพย์ตามวรรคหนึ่งที่เป็นเงินบาท ต้องเปลี่ยนเป็นเงินตราต่างประเทศเพื่อนำกลับไปประกอบธุรกรรมทุกประเภทตามที่กิจการวิเทศธนกิจส่วนนั้นจะพึงกระทำได้ตามข้อ 11. ข้อ 11. ผลกำไรหลังหักภาษี ณ สิ้นงวดบัญชี หรือเงินตราต่างประเทศ ซึ่งได้มาจากการเปลี่ยนเงินบาทตามข้อ 9. ให้ถือว่ามีแหล่งที่มาจากต่างประเทศ ซึ่งกิจการวิเทศธนกิจสามารถนำกลับไปประกอบธุรกรรมทุกประเภทตามที่กิจการวิเทศธนกิจจะพึงกระทำได้ตามประกาศกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ และตามประกาศฉบับนี้แต่ไม่รวมถึงการให้กู้ยืมเงินบาทของกิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศ ข้อ 12. การโอนผลกำไรหรือผลขาดทุนหลังหักภาษี ณ สิ้นงวดบัญชีไปให้ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นเจ้าของกิจการวิเทศธนกิจนั้น กิจการวิเทศธนกิจต้องแจ้งการโอนดังกล่าวให้ธนาคารแห่งประเทศไทยทราบภายใน 30 วัน นับแต่วันที่โอน ข้อ 13. กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศ อาจเปิดบัญชีเงินฝากแบบไม่มีดอกเบี้ยไว้กับกิจการส่วนอื่นของธนาคารพาณิชย์เจ้าของกิจการวิเทศธนกิจนั้นซึ่งอยู่ในประเทศไทยเพื่อใช้ในการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจได้ แทนการเปิดบัญชีเงินฝากธนาคารในต่างประเทศ (Nostro Account)โดยตรง ทั้งนี้ ณ สิ้นวัน บัญชีเงินฝากดังกล่าวจะต้องไม่มียอดคงค้างใด ๆ ข้อ 14. ให้กิจการวิเทศธนกิจสามารถลงทุนในหุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ หรือใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้น ของนิติบุคคลที่จดทะเบียนในต่างประเทศ ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม อันเนื่องมาจากการปรับโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยได้ ข้อ 15. นอกจากการประกอบธุรกิจตามที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงการคลังว่าด้วยการประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์แล้ว กิจการวิเทศธนกิจอาจประกอบธุรกิจอื่นที่เกี่ยวกับหรือเนื่องจากกิจการวิเทศธนกิจ ดังต่อไปนี้ได้ด้วย (1) การให้บริการข่าวสาร ข้อมูลทางการเงินและเศรษฐกิจทั่วไป (2) การให้บริการจัดทำหรือวิเคราะห์โครงการเพื่อการลงทุน (3) การเป็นที่ปรึกษาในการซื้อกิจการ รวมกิจการ หรือควบกิจการ (4) การเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน (5) การจัดการออก (Arranging) หรือการจัดจำหน่าย (Underwriting) ตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศที่ออกจำหน่ายในต่างประเทศ แต่ในกรณีที่ผู้ออกตราสารอยู่ในประเทศ กิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ ต้องประกอบธุรกิจนี้ร่วมกับกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย (6) การรับซื้อหรือรับโอนลูกหนี้เงินให้กู้ยืมที่เป็นเงินตราต่างประเทศภายใต้ข้อกำหนดดังต่อไปนี้ 1) กิจการวิเทศธนกิจสามารถรับซื้อหรือรับโอนลูกหนี้เงินให้กู้ยืมที่เป็นเงินตราต่างประเทศจากสถาบันการเงินในประเทศ สถาบันการเงินที่จดทะเบียนในต่างประเทศ หรือบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน โดยการเบิกถอนเงินให้กู้ยืมที่เป็นเงินให้กู้ยืมในประเทศที่รับซื้อหรือรับโอนของผู้กู้แต่ละราย ต้องมีจำนวนครั้งละไม่ต่ำกว่า 2,000,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า เว้นแต่เป็นการเบิกถอนโดยสถาบันการเงิน หรือเป็นการเบิกถอนงวดสุดท้าย หรือเป็นกรณีมียอดคงค้างที่เบิกถอนไปแล้วไม่ต่ำกว่า 2,000,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า การเบิกถอนเงินให้กู้ยืมที่เป็นเงินให้กู้ยืมในประเทศที่รับซื้อหรือรับโอนของผู้กู้แต่ละรายที่เป็นผู้ส่งออกที่มีรายได้จากการส่งออกเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้นในรอบระยะเวลาบัญชีก่อน หรือเป็นลูกค้าที่มีรายได้เกินกว่าครึ่งหนึ่งจากการขายหรือให้บริการแก่ผู้ส่งออกซึ่งมีรายได้จากการส่งออกเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้นในรอบระยะเวลาบัญชีก่อน ต้องมีจำนวนครั้งละไม่ต่ำกว่า 500,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า เว้นแต่เป็นการเบิกถอนงวดสุดท้าย หรือเป็นกรณีที่มียอดคงค้างที่เบิกถอนไปแล้วไม่ต่ำกว่า 500,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า 2) การรับซื้อหรือรับโอนลูกหนี้เงินให้กู้ยืม ต้องเป็นการรับซื้อโดยเด็ดขาดตามสภาพของหนี้ที่เป็นอยู่ทั้งการจัดชั้นและระยะเวลาที่ค้างชำระดอกเบี้ยหรือเงินต้น 3) ในการรับซื้อหรือรับโอนลูกหนี้เงินให้กู้ยืม กิจการวิเทศธนกิจต้องถือปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการให้กู้ยืมโดยเคร่งครัด (7) การค้ำประกันการกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ไทยหรือจากต่างประเทศที่เป็นเงินตราต่างประเทศแก่ลูกค้าในประเทศ ต้องมีวงเงินขั้นต่ำในการค้ำประกันไม่น้อยกว่า 2,000,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า เว้นแต่ลูกค้าในประเทศที่เป็นผู้ส่งออกที่มี รายได้จากการส่งออกเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้นในรอบระยะเวลาบัญชีก่อน หรือเป็นลูกค้าที่มีรายได้เกินกว่าครึ่งหนึ่งจากการขายหรือให้บริการแก่ผู้ส่งออกซึ่งมีรายได้จากการ ส่งออกเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้นในรอบระยะเวลาบัญชีก่อน ต้องมีวงเงินขั้นต่ำในการค้ำประกันไม่น้อยกว่า 500,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า (8) การรับซื้อลดตราสารที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกที่เป็นเงินตราต่างประเทศเฉพาะกรณีที่ผู้ขายสินค้าเป็นผู้ส่งออกที่มีภูมิลำเนาหรือจดทะเบียนในประเทศไทย ตามข้อกำหนดดังต่อไปนี้ 1) รับซื้อลดตั๋วแลกเงินที่เกี่ยวกับการส่งออกทั้งกรณีมี เลตเตอร์ออฟเครดิต(Export Bill under L/C) และไม่มีเลตเตอร์ออฟเครดิต (Export Bill under D/A or D/P) 2) รับซื้อลดตั๋วสัญญาใช้เงินที่เกิดจากการส่งสินค้าออก และได้ออกตามเอกสารอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ 2.1) เลตเตอร์ออฟเครดิตที่เป็นเงินตราต่างประเทศ 2.2) สัญญาซื้อขายหรือคำสั่งซื้อสินค้า 2.3) ใบรับของคลังสินค้าและประทวนสินค้า หรือใบรับจำนำสินค้าของธนาคารพาณิชย์อันเป็นหลักฐานแสดงว่าผู้ส่งออกมีสินค้าพร้อมจะส่งออกเก็บรักษาไว้ในคลังสินค้าหรือสถานที่เก็บสินค้าที่ธนาคารพาณิชย์ให้ความเชื่อถือ 2.4) ตั๋วแลกเงินอันเกิดจากการที่ผู้ส่งออกได้ส่งสินค้าออกแล้ว (9) การเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตที่เป็นเงินตราต่างประเทศเฉพาะกรณีที่ผู้ซื้อสินค้าตามข้อตกลงแห่งเลตเตอร์ออฟเครดิตนั้นมีภูมิลำเนาหรือจดทะเบียนในประเทศไทย และต้องมีวงเงินขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 2,000,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า เว้นแต่ผู้ซื้อ สินค้าดังกล่าวเป็นผู้นำเข้าสินค้าเพื่อผลิตสำหรับการส่งออก โดยมีรายได้จากการส่งออกเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้นในรอบระยะเวลาบัญชีก่อน หรือเป็นผู้นำเข้าสินค้าที่มีรายได้เกินกว่าครึ่งหนึ่งจากการขายสินค้าหรือบริการแก่ผู้ส่งออกซึ่งมีรายได้จากการส่งออกเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้นในรอบระยะเวลาบัญชีก่อน ต้องมีวงเงินขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 500,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า (10) การให้กู้ยืมโดยทำสัญญาทรัสต์รีซีท (Trust Receipt) ที่เป็นเงินตราต่างประเทศแก่ผู้ซื้อสินค้าที่มีภูมิลำเนาหรือจดทะเบียนในประเทศไทย ทั้งที่มีหรือไม่มีเลตเตอร์ออฟเครดิตประกอบ และต้องมีวงเงินการให้กู้ยืมขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 2,000,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า เว้นแต่ผู้ซื้อสินค้าดังกล่าวเป็นผู้นำเข้าสินค้าเพื่อผลิตสำหรับการส่งออก โดยมีรายได้จากการส่งออกเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้นในรอบระยะเวลาบัญชีก่อน หรือเป็นผู้นำเข้าสินค้าที่มีรายได้เกินกว่าครึ่งหนึ่งจากการขายสินค้าหรือบริการแก่ผู้ส่งออกซึ่งมีรายได้จากการส่งออกเกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งสิ้นในรอบระยะเวลาบัญชีก่อน ต้องมีวงเงินขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 500,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า (11) การประกันความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยกับสถาบันการเงิน สำหรับเงินกู้และเงินให้กู้ยืมของตนเอง และรับประกันความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยสำหรับเงินให้กู้ยืมของตนเองแก่ลูกค้าในต่างประเทศ กิจการวิเทศธนกิจอื่น กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือลูกค้าในประเทศที่กิจการวิเทศธนกิจนั้นให้กู้ยืมเป็นเงินตราต่างประเทศ (12) การให้เช่าซื้อหรือการให้เช่าแบบลีสซิ่ง ภายใต้ข้อกำหนดดังต่อไปนี้ 1) ในข้อกำหนดนี้ "ผู้เช่า" หมายความว่า ผู้เช่าซื้อหรือผู้เช่าแบบลีสซิ่ง "เงินรายงวด" หมายความว่า เงินที่ผู้เช่าซื้อจะต้องชำระแก่ กิจการวิเทศธนกิจในแต่ละงวด ซึ่งประกอบด้วยส่วนที่เป็นดอกผลเช่าซื้อและราคาเงินสดประจำงวดตามเงื่อนไขในสัญญาเช่าซื้อ "ค่าเช่า" หมายความว่า ค่าเช่าตามสัญญาแบบลีสซิ่ง "การปรับโครงสร้างหนี้" หมายความว่า การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ที่เป็นไปตามข้อกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทย "เช่าซื้อ" หมายความว่า เช่าซื้อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ "การให้เช่าแบบลีสซิ่ง" หมายความว่า การให้เช่าทรัพย์สินเพื่อให้ ผู้เช่าได้ใช้ประโยชน์ในกิจการอุตสาหกรรม เกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรือกิจการบริการอย่างอื่นเป็นทางค้าปกติ โดยผู้เช่ามีหน้าที่ต้องบำรุงรักษาและซ่อมแซมทรัพย์สินที่เช่า ทั้งนี้ ผู้เช่าจะบอกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ แต่ผู้เช่ามีสิทธิที่จะซื้อหรือเช่าทรัพย์สินนั้นต่อไปในราคาหรือค่าเช่าที่ได้ตกลงกัน 2) ให้กิจการวิเทศธนกิจให้เช่าซื้อ หรือให้เช่าแบบลีสซิ่ง ซึ่งทรัพย์สินที่ได้รับโอนมาเพื่อชำระหนี้จากลูกหนี้หรือผู้ค้ำประกัน ตามสัญญาการปรับโครงสร้างหนี้ 3) การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อหรือสัญญาเช่าแบบลีสซิ่ง เมื่อผู้เช่าผิดนัดไม่ชำระเงินรายงวดหรือค่าเช่าสองงวดติด ๆ กัน หรือเมื่อผู้เช่ากระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญ กิจการวิเทศธนกิจต้องแจ้งการบอกเลิกสัญญาพร้อมด้วยเหตุผลเป็นหนังสือให้ผู้เช่าทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน นับแต่วันที่ผู้เช่าได้รับหนังสือดังกล่าว ในหนังสือบอกเลิกสัญญานั้นให้ระบุด้วยว่าหากผู้เช่าชำระค่าเช่างวดที่ค้างชำระ หรือแก้ไขการผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญดังกล่าวแล้วแต่กรณี ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญา การบอกเลิกสัญญานั้นเป็นอันระงับไป ในกรณีที่ผิดนัดไม่ชำระเงินรายงวดหรือค่าเช่าสองงวดติดต่อกัน หรือกระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญ หากผู้เช่าชำระค่าเช่างวดที่ค้างชำระเงินรายงวดที่ค้างชำระหรือแก้ไขการผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญ ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญา ให้การบอกเลิกสัญญานั้นเป็นอันระงับไป 4) เมื่อสิ้นวันที่ 31 ธันวาคม 2544 กิจการวิเทศธนกิจจะประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อ หรือการให้เช่าแบบลีสซิ่งเพิ่มขึ้นอีกไม่ได้ กิจการวิเทศธนกิจต้องแยกบัญชีในการประกอบธุรกิจตามข้อ 15 นี้ต่างหากจากบัญชีอื่น ๆ ของกิจการวิเทศธนกิจอย่างชัดเจน ข้อ 16. สถานที่ทำการของกิจการวิเทศธนกิจต้องมีเพียงแห่งเดียว และต้องอยู่ในสถานที่เดียวกับที่ทำการของธนาคารพาณิชย์ที่เป็นเจ้าของกิจการวิเทศธนกิจนั้น ข้อ 17. กิจการวิเทศธนกิจต้องนำส่งค่าธรรมเนียมรายปี ปีละ 500,000 บาท การชำระค่าธรรมเนียมตามวรรคหนึ่ง ให้ชำระที่ธนาคารแห่งประเทศไทยภายใน 7 วัน ทำการแรกของทุกปี เว้นแต่ปีแรกให้ชำระเมื่อรับใบอนุญาต ข้อ 18. ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2544 ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย-ยก-