การให้กู้ยืมเงินโดยมีตั๋วสัญญาใช้เงินที่เกิดจากการประกอบวิสาหกิจขนาดย่อมเป็นประกัน

ข่าวกฏหมายและประกาศ Wednesday December 6, 2006 12:01 —ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย

                                                           6 ธันวาคม 2549    
เรียน ผู้จัดการ
ธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคาร
ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ธนาคารออมสิน
บริษัทเงินทุนทุกบริษัท
ที่ ธปท.ฝกช.(22) ว. 1843/2549 เรื่อง การให้กู้ยืมเงินโดยมีตั๋วสัญญาใช้เงินที่เกิดจากการประกอบวิสาหกิจขนาดย่อมเป็นประกัน
เพื่อปรับปรุงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดย่อมให้เป็นไปโดยเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เห็นสมควร
1.ยกเลิกระเบียบธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยการให้กู้ยืมเงินโดยมีตั๋วสัญญาใช้เงินที่เกิดจากการประกอบวิสาหกิ่จขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นประกัน พ.ศ.2546 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2550 เป็นต้นไป
2.ให้ใช้ระเบียบธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยการให้กู้ยืมเงินโดยมีตั๋วสัญญาใช้เงินที่เกิดจากการประกอบวิสาหกิจขนาดย่อมเป็นประกัน พ.ศ.2550 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2550 เป็นต้นไป
3.ให้สถาบันการเงินส่งหนังสือยืนยันรายชื่อผู้ประกอบวิสาหกิจรายเดิมพร้อมวงเงินที่สถาบันการเงินต้องการให้ความช่วยเหลือต่อเนื่องให้แก่ ธปท.ภายในวันที่ 22 ธันวาคม 2549 โดยหากสถาบันการเงินต้องการเพิ่มวงเงินให้แก่ผู้ประกอบวิสาหกิจรายเดิมสามารถทำได้ภายใต้เงื่อนไขในระเบียบใหม่ แต่ทั้งนี้ เมื่อรวมวงเงินที่ผู้ประกอบวิสาหกิจทุกรายได้รับความช่วยเหลือต้องไม่เกินวงเงินที่แต่ละสถาบันการเงินได้รับการจัดสรรใหม่
4.ธปท.จะให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบวิสาหกิจรายเดิมที่สถาบันการเงินยืนยันมาที่ธปท.ตามข้อ 3. ไม่เกิน 5 ปี โดยนับอายุต่อเนื่อง และให้วันที่สิ้นสุดความอนุเคราะห์ไม่เกินที่ได้รับอนุมัติไว้ตามระเบียบเดิม แต่ต้องไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2552 ทั้งนี้ ธปท.จะคิดอัตราดอกเบี้ยในการกู้ยืมเงินจาก ธปท.ตามระเบียบใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2550
สำหรับตั๋วสัญญาใช้เงินของผู้ประกอบวิสาหกิจรายเดิมที่ออกก่อนระเบียบฉบับนี้มีผลใช้บังคับและยังไม่ครบกำหนด ธปท. อนุโลมให้ใช้นครบกำหนด หากประสงค์จะขอความอนุเคราะห์ต่อให้ถือปฏิบัติตามระเบียบใหม่
5.ณ วันที่ 1 มกราคม 2550 สถาบันการเงินต้องมียอดเงินกู้คงค้างไม่เกินวงเงินที่สถาบันการเงินได้รับการจัดสรรใหม่
6.สถาบันการเงินสามารถส่งรายชื่อผู้ประกอบวิสาหกิจรายใหม่เพื่อขอความเห็นชอบจาก ธปท.ได้ตั้งแต่ที่ในหนังสือฉบับนี้ ในกรณีที่สถาบันการเงินต้องการนำตั๋วสัญญาใช้เงินของผู้ประกอบวิสาหกิจรายใดมาวางเป็นประกันการกู้ยืมเงินจาก ธปท. ในวันที่ 1 มกราคม 2550 ก็ให้สถาบันการเงินแจ้งรายชื่อให้ ธปท. ทราบภายในวันที่ 22 ธันวาคม 2549
พร้อมนี้ ธปท.ได้แนบระเบียบธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยการให้กู้ยืมเงินโดยมีตั๋วสัญญาใช้เงินที่เกิดจากการประกอบวิสาหกิจขนาดย่อมเป็นประกัน พ.ศ.2550 และเอกสารที่เกี่ยวข้องมาเพื่อโปรดทราบ
ขอแสดงความนับถือ
(นางสาวนิตยา พิบูลย์รัตนกิจ)
ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน
ผู้ว่าการแทน
สิ่งที่ส่งมาด้วย : ระเบียบธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยการให้กู้ยืมเงินโดยมีตั๋วสัญญาใช้เงินที่เกิดจากการประกอบวิสาหกิจขนาดย่อมเป็นประกัน
พ.ศ.2550
ส่วนสินเชื่อ
ฝ่ายกำกับการแลกเปลี่ยนเงินและสินเชื่อ
สายการตลาดการเงิน
โทร.0-2283-5426, 0-2283-5416,
0-2283-5429-30
โทรสาร 0-2283-5428
หมายเหตุ : มีการจัดประชุมชี้แจง ในวันที่ 13 ธันวาคม 2549 เวลา 14.00 น.
ระเบียบธนาคารแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการให้กู้ยืมเงินโดยมีตั๋วสัญญาใช้เงินที่เกิดจากการประกอบวิสาหกิจ
ขนาดย่อมเป็นประกัน
พ.ศ.2550
เพื่อส่งเสริมการประกอบวิสาหกิจให้เป็นไปโดยเหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบันยิ่งขึ้นธนาคารแห่งประเทศไทยจะให้ความอนุเคราะห์ทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดย่อมผ่านสถาบันการเงินโดยใช้ระเบียบนี้แทนระเบียบธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยการให้กู้ยืมเงินโดยตั๋วสัญญาใช้เงินที่เกิดจากการประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นประกัน พ.ศ.2546 ดังนี้
ข้อ 1. ในระเบียบนี้
"วิสาหกิจ" หมายความว่า กิจการผลิตสินค้า (รวมทั้งกิจการรับจ้างทำของ) กิจการให้บริการ กิจการค้าส่ง และกิจการค้าปลีก ตามประเภทวิสาหกิจที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดในเอกสารแนบประกอบระเบียบ และภายในเกณฑ์ที่กำหนด ดังนี้
(1) กิจการผลิตสินค้า (รวมทั้งกิจการรับจ้างทำของ) ที่มี่จำนวนการจ้างงานไม่เกิน 50 คน หรือมีมูลค่าสินทรัพย์ถาวรไม่รวมที่ดินไม่เกิน 50 ล้านบาท
(2) กิจการให้บริการ ที่มีจำนวนการจ้างงานไม่เกิน 50 คน หรือมีมูลค่าสินทรัพย์ถาวรไม่รวมที่ดินไม่เกิน 50 ล้านบาท
(3) กิจการค้าส่ง ที่มีจำนวนการจ้างงานไม่เกิน 25 คน หรือมีมูลค่าสินทรัพย์ถาวรไม่รวมที่ดินไม่เกิน 50 ล้านบาท
(4) กิจการค้าปลีก ที่มีจำนวนการจ้างงานไม่เกิน 15 คน หรือมีมูลค่าสินทรัพย์ถาวรไม่รวมที่ดินไม่เกิน 30 ล้านบาท
"ผู้ประกอบวิสาหกิจ" หมายความว่า ผู้ประกอบวิสาหกิจที่เป็นบุคคลธรรมดาซึ่งมีสัญชาติไทย หรือนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทยซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้น หรือมี่จำนวนหุ้นที่บุคคลผู้มีสัญชาติไทยถืออยู่เกินกว่ากึ่งหนึ่งของทุนจดทะเบียนในนิติบุคคลนั้น
"ผู้ประกอบวิสาหกิจรายเดิม" หมายความว่า ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับความเห็นชอบให้ได้รับความช่วยเหลือทางการเงินตามระเบียบธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยการให้กู้ยืมเงินโดยมีตั๋วสัญญาใช้เงินที่เกิดจากการประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นประกัน พ.ศ.2546 และสถาบันการเงินแจ้งยืนยันกับธนาคารแห่งประเทศไทยว่าประสงค์จะให้เป็นผู้ประกอบวิสาหกิจรายเดิม
"ธปท." หมายความว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย
"สถาบันการเงิน" หมายความว่า ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน และบริษัทเงินทุน
ข้อ 2. ธปท. จะให้กู้ยืมเงินแก่สถาบันการเงินโดยมีตั๋วสัญญาใช้เงินของผู้ประกอบวิสาหกิจที่สถาบันการเงินรับซื้อไว้วางเป็นประกันตามระเบียบนี้ โดยตั๋วสัญญาใช้เงินต้องเป็นไปตามข้อกำหนดดังต่อไปนี้
(1) เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินตามแบบที่แนบ
(2) เป็นตั๋วสัญญาใชเงินที่เกิดจากการประกอบวิสาหกิจอันสุจริต
(3) เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยผู้ประกอบวิสาหกิจที่สถาบันการเงินอนุมัติให้เป็นผู้ที่พึงเชื่อถือได้ และ ธปท. เห็นสมควรให้ความอนุเคราะห์
(4) เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกเป็นเงินบาท แต่ละฉบับมีจำนวนเงินไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท (หนึ่งหมื่นบาท) และต้องไม่มีเศษของหลักพัน
(5) เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่ถึงกำหนดใช้เงินไม่เกินกำหนดเวลา 120 วัน นับแต่วันที่ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน ทั้งนี้ ต้องไม่เกินวันครบกำหนดเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยในแต่ละปีของผู้ประกอบวิสาหกิจแต่ละราย
(6) จำนวนเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินต้องไม่เกินจำนวนที่สถาบันการเงินให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจเพื่อการประกอบวิสาหกิจ ทั้งนี้ ต้องไม่เกินจำนวนเงินที่ผู้ประกอบวิสาหกิจจ่ายหรือเพื่อการดังกล่าว
(7) เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่สถาบันการเงินรับซื้อและชำระเงินแล้วก็ตามจำนวนเงินในตั๋วสัญญาใช้เงิน
(8) เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยดังนี้
ตั๋วฯ ที่ออกโดยผู้ประกอบวิสาหกิจ อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋วฯ ไม่เกินอัตราร้อยละ
ปีที่ 1 MLR - 2.25 ต่อปี
ปีที 2 MLR - 1.25 ต่อปี
ปีที่ 3 MLR - 0.25 ต่อปี
ก.อัตรา MLR หมายถึง MLR หรือ Prime Rate ของแต่ละสถาบันการเงิน
ข.การคิดดอกเบี้ยผู้ประกอบวิสาหกิจรายใหม่ให้นับอายุการคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ ธปท.ให้ความเห็นชอบผู้ประกอบวิสาหกิจ สำหรับรายเดิมที่สถาบันการเงินยืนยันให้นับอายุในการคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2550 เป็นต้นไป
(9) เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่สถาบันการเงินได้สลักหลังเฉพาะโอนให้ ธปท.
ข้อ 3 ธปท.จะให้กู้ยืมเงินตามข้อ 2. เป็นจำนวนเงินไม่เกินอัตราร้อยละ 50 ของ
จำนวนเงินในตั๋วสัญญาใช้เงินที่วางเป็นประกันทุกฉบับรวมกันและไม่เกินวงเงินที่ ธปท.กำหนดสำหรับวสถาบันการเงินนั้น
ในวันที่ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยสถาบันการเงินถึงกำหนดใช้เงินหรือในวันที่มีการขอชำระหนี้หรือวันที่ ธปท.เรียกให้ชำระหนี้ก่อนกำหนด ธปท.จะหักเงินจากบัญชีเงินฝากของสถาบันการเงินที่ ธปท. ตามจำนวนหนี้ที่ถึงกำหนดชำระหรือจำนวนหนี้ที่ขอชำระหรือจำนวนหนี้ที่ ธปท.เรียกให้ชำระก่อนกำหนด แล้วแต่กรณี รวมดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ (ถ้ามี)
ในกรณีที่วันถึงกำหนดใช้เงินตามตั๋วสัญญาให้เงินของสถาบันการเงินตรงกับวันหยุดทำการ ธปท. จะเรียกเก็บดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ (ถ้ามี) สำหรับวันหยุดดังกล่าวด้วย
ข้อ 4. การอนุเคราะห์แก่ผู้ประกอบวิสาหกิจแต่ละราย เป็นดุลพินิจของแต่ละสถาบันการเงิน โดย ธปท.จะให้ความอนุเคราะห์ของผู้ประกอบวิสาหกิจไม่เกินรายละ 10 ล้านบาท และเมื่อรวมวงเงินที่ได้รับอนุเคราะห์ของผู้ประกอบวิสาหกิจทุกรายแล้ว ต้องไม่เกินวงเงินที่สถาบันการเงินได้รับจัดสรรจาก ธปท. ทั้งนี้ ระยะเวลาการอนุเคราะห์ไม่เกิน 3 ปี
ข้อ 5. ธปท.จะให้ความอนุเคราะห์แก่ผู้ประกอบวิสาหกิจแต่ละรายตามระเบียบนี้ผ่านสถาบันการเงินเพียงแห่งเดียว
ข้อ 6. ในกรณีที่สถาบันการเงินไม่นำตั๋วสัญญาใช้เงินของผู้ประกอบวิสาหกิจใดไปเป็นหลักประกันการกู้ยืมเงินจาก ธปท. ภายในระยะเวลา 6 เดือนนับแต่วันที่ได้รับความเห็นชอบให้ได้รับความช่วยเหลือทางการเงิน หรือสถาบันการเงินไม่มียอดคงค้างของผู้ประกอบวิสาหกิจรายใดกับ ธปท. เป็นระยะเวลาติดต่อกัน 6 เดือน ธปท. มีสิทธิยกเลิกการให้ความช่วยเหลือแก่ผุ้ประกอบวิสาหกิจรายนั้นทันที และ ธปท. จะไม่ให้ความอนุเคราะห์แก่ผู้ประกอบวิสาหกิจรายนั้นผ่านสถาบันการเงินอื่นอีก
ข้อ 7. ธปท. จะให้ความอนุเคราะห์แก่ผู้ประกอบวิสาหกิจแต่ละรายตามระเบียบนี้ผ่านสถาบันการเงินใดสถาบันการเงินหนึ่งได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากมีการขอเปลี่ยนแปลงสถาบันการเงิน ธปท. จะนับอายุการให้ความช่วยเหลือต่อเนื่องและไม่เกินวงเงินเดิมที่เคยได้รับจากสถาบันการเงินแรก
ข้อ 8. ธปท. จะคิดอัตราดอกเบี้ยจากสถาบันการเงินให้สอดคล้องกับเกณฑ์การคิดดอกเบี้ยตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่เป็นประกันในข้อ 2. (8) ดังนี้
ตั๋วฯ ที่ออกโดยผู้ประกอบวิสาหกิจ อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋วฯ
ปี อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋วฯ ที่ออกโดยสถาบันการเงิน
ปีที่ 1 ไม่เกินร้อยละ MLR-2.25 ต่อปี ร้อยละ MLR-6.75 ต่อปี
(ไม่น้อยกว่าร้อยละ 1 ต่อปี)
ปีที่ 2 ไม่เกินร้อยละ MLR-1.25 ต่อปี ร้อยละ MLR-4.75 ต่อปี
(ไม่น้อยกว่าร้อยละ 1 ต่อปี)
ปีที่ 3 ไม่เกินร้อยละ MLR-0.25 ต่อปี ร้อยละ MLR-2.75 ต่อปี
(ไม่น้อยกว่าร้อยละ 1 ต่อปี)
ข้อ 9.ในการกู้ยืมเงินแต่ละครั้ง สถาบันการเงินต้องดำเนินการดังต่อไปนี้
(1) ทำหนังสือนำส่งตั๋วสัญญาใช้เงินตามแบบที่แนบ
(2) ส่งมอบตั๋วสัญญาใช้เงินที่ถูกต้องตามข้อ 2.ให้ ธปท.เพื่อวางเป็นประกัน
(3) ออกตั๋วสัญญาใช้เงินที่มีลักษณะดังต่อไปนี้
ก.เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินตามแบบที่แนบ
ข.เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่มีจำนวนเงินไม่เกินอัตราร้อยละ 50 ของจำนวนเงินในตั๋วสัญญาใช้เงินที่วางเป็นประกันทุกฉบับรวมกัน
ค.เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่ถึงกำหนดใช้เงินไม่เกิน 120 วัน นับแต่วันที่ ธปท.ให้กู้ยืมเงิน และวันเดียวกับวันถึงกำหนดใช้เงินของตั๋วสัญญาใช้เงินที่วางไว้เป็นประกันฉบับที่ถึงกำหนดใช้เงินแรกสุด
ง.เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่กำหนดดอัตราดอกเบี้ยตามข้อ 8.
ข้อ 10.เมื่อ ธปท.ตกลงให้สถาบันการเงินกู้ยืมตามระเบียบนี้แล้ว ธปท.จะนำเงินเข้าบัญชีเงินฝากของสถาบันการเงินที่ ธปท.และเมื่อ ธปท.ได้ดำเนินการดังกล่าวแล้ว ให้ถือว่า สถาบันการเงินได้รับเงินกู้ยืมจาก ธปท.แล้ว
ในกรณีที่ ธปท.พิจารณาให้สถาบันการเงินกู้ยืมเงินไม่เต็มตามจำนวนเงินที่ขอกู้ยืมในข้อ9.(3) ข.เนื่องจากตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นที่วางเป็นประกันไม่เป็นไปตามข้อ 2.หรือด้วยเหตุอื่นใดก็ตามสถาบันการเงินไม่ต้องออกตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่และให้ถือว่าสถาบันการเงินได้กู้ยืมเท่ากับจำนวนเงินที่สถาบันการเงินได้รับในครั้งนั้น
ข้อ 11.สถาบันการเงินที่ประสงค์จะขอกู้ยืมเงินจาก ธปท.ต้องปฏิบัติและยินยอมรับพันธะหน้าที่ดังต่อไปนี้
(1) ทำหนังสือความตกลงเพื่อกู้ยืมเงินตามแบบที่แนบ
(2) เรียกเก็บดอกเบี้ยจากผู้ประกอบวิสาหกิจสำหรับจำนวนเงินในตั๋วสัญญาใช้เงินไม่เกินอัตราที่กำหนดในตั๋วสัญญาใช้เงิน และเรียกเก็บในวันที่ตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดใช้เงินหรือวันที่มีการชำระหนี้
(3) ยินยอมให้ ธปท.หักเงินจากบัญชีเงินฝากของสถาบันการเงินที่ ธปท.เพื่อชำระหนี้อันเกิดขึ้นเนื่องจากการที่ ธปท.ให้กู้ยืมเงินตามระเบียบนี้ และในกรณีที่ในบัญชีเงินฝากของสถาบันการเงินที่มีอยู่ที่ ธปท.และดำเนินการอื่นใดก็ตามที่ ธปท.เห็นสมควรเพื่อให้ได้เงินมาชำระหนี้ตลอดจนยินยอมให้เจ้าหน้าที่ของธปท.เข้าไปตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการให้กู้ยืมเงินตามระเบียบครั้งนี้ ณ สำนักงานของสถาบันการเงิน รวมทั้งดำเนินการให้ผู้ประกอบวิสาหกิจยินยอมให้เจ้าหน้าที่ของ ธปท.เข้าไปตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินที่สถาบันการเงินนำมาวางเป็นประกันการกู้ยืมเงินตามระเบียบนี้ ณ สำนักงานของผู้ประกอบวิสาหกิจได้ด้วย
(4) ดำรงเงินฝากไว้ที่ ธปท.ให้มีจำนวนเพียงพอที่ ธปท.จะหักชำระหนี้ได้
(5) ส่งหนังสือแจ้งรายชื่อผู้ประกอบวิสาหกิจที่สถาบันการเงินอนุมัติให้เป็นผู้ประกอบวิสาหกิจที่พึงเชื่อถือได้พร้อมวงเงิจตามแบบที่แนบ เพื่อให้ ธปท.พิจารณาให้ความเห็นชอบในการให้ความอนุเคราะห์ทางการเงิน ทั้งนี้ เมื่อรวมวงเงินของผู้ประกอบวิสาหกิจทุกรายที่สถาบันการเงินแจ้งอนุมัติให้เป็นผู้ประกอบวิสาหกิจที่พึงเชื่อถือได้ตามระเบียบนี้แล้วต้องไม่เกินวงเงินที่สถาบันการเงินได้รับจัดสรรจาก ธปท.
(6) จัดให้ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ขอรับความอนุเคราะห์ตามระเบียบนี้รับรู้ข้อกำหนดแห่งระเบียบนี้
(7) ตรวจสอบและรับรองว่า
ก.ตั๋วสัญญาใช้เงินที่สถาบันการเงินนำมาวางเป็นประกันและตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยสถาบันการเงินถูกต้องตามข้อ 2.และข้อ 9.(3) ทุกประการ
ข.จำนวนเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่สถาบันการเงินนำมาวางเป็นประกันเมื่อรวมกับจำนวนเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยผู้ประกอบวิสาหกิจรายเดียวกัน ซึ่งสถาบันการเงินได้นำมาวางเป็นประกันไว้แล้วต้องไม่เกินวงเงินที่สถาบันการเงินอนุมัติให้สินเชื่อตามที่ได้แจ้งไว้แก่ ธปท.
(8) เมื่อสถาบันการเงินประสงค์จะชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนก่อนวันที่ตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดใช้เงิน สถาบันการเงินต้องทำหนังสือขอชำระหนี้ตามแบบที่แนบยื่นต่อ ธปท.
ข้อ 12.เมื่อสถาบันการเงินฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อใดข้อหนึ่งแห่งระเบียบนี้ ธปท.จะเรียกเก็บเบี้ยปรับจากสถาบันการเงินในอัตราร้อยละ 10 ต่อปี ตามจำนวนเงินในตั๋วสัญญาใช้เงินที่เกี่ยวข้องกับการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติและตามระยะเวลาที่เริ่มนับตั้งแต่วันที่ ธปท.ให้กู้ยืมจนถึงวันที่มีการชำระหนี้ หรือตามระยะเวลาที่เกี่ยวข้อง แล้วแต่กรณี
ถ้าสาเหตุที่สถาบันการเงินต้องเสียเบี้ยปรับเกิดขึ้นเพราะความผิดของผู้ประกอบวิสาหกิจผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน สถาบันการเงินจะไล่เบี้ยจากผู้ประกอบวิสาหกิจออกตั๋วสัญญาใช้ สถาบันการเงินจะไล่เบี้ยจากผู้ประกอบวิสาหกิจผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินได้ไม่เกินจำนวนเงินเบี้ยปรับที่ ธปท.เรียกเก็บจากสถาบันการเงิน และถ้า ธปท.คืนเบี้ยปรับให้แก่สถาบันการเงินเป็นจำนวนเงินเท่าใด สถาบันการเงินต้องคืนเบี้ยปรับตามจำนวนเงินดังกล่าวให้แก่ผู้ประกอบวิสาหกิจผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน
ข้อ 13.ธปท.อาจพิจารณางด ลด หรือคืนเบี้ยปรับสำหรับการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามระเบียบนี้ ตามที่เห็นสมควรก็ได้
ข้อ 14.เมื่อ ธปท.ได้รับชำระหนี้ ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยสถาบันการเงินแล้วหากปรากฏในภายหลังว่ามีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อใดข้อหนึ่งแห่งระเบียบนี้ ธปท.สงวนสิทธิที่จะเรียกเก็บเบี้ยปรับสำหรับการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติดังกล่าว
ข้อ 15.ธปท.สงวนสิทธิที่จะไม่ให้กู้ยืมเงิน ลดจำนวนเงินที่จะให้กู้ยืม หรือเรียกให้ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินก่อนวันถึงกำหนดใช้เงิน เมื่อมีกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
(1) เมื่อ ธปท.เห็นว่าสถาบันการเงินที่กู้ยืมเงินปฏิบัติไม่ชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยสถาบันการเงินนั้นๆ
(2) เมื่อมีการจำหน่ายทรัพย์สินของสถาบันการเงินตามข้อ 11.(3)
(3) เมื่อ ธปท.เห็นว่าสถาบันการเงินหรือผู้ประกอบวิสาหกิจผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินฝ่าฝืนหรือปฏิบัติไม่ถูกต้องตามระเบียบนี้ หรือมีพฤติการณ์ในทำนองไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของระเบียบนี้
(4) มีเหตุไม่สมควรประการอื่น
ข้อ 16.สำหรับผู้ประกอบวิสาหกิจรายเดิมที่เคยได้รับความอนุเคราะห์ตามระเบียบธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยการให้กู้ยืมเงินโดยมีตั๋วสัญญาใช้เงินที่เกิดจากการประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นประกัน พ.ศ.2546 ธปท.ผ่อนผันให้ความอนุเคราะห์ต่อไป โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้
(1) ธปท.จะให้ความช่วยเหลือไม่เกินวงเงินที่ผู้ประกอบวิสาหกิจรายนั้นเคยได้รับความเห็นชอบจาก ธปท.หากสถาบันการเงินต้องการเพิ่มวงเงินให้แก่ผู้ประกอบวิสาหกิจรายใดให้สามารถกระทำได้ภายใต้เงื่อนไขระเบียบนี้
(2) ธปท.จะนับอายุการให้ความช่วยเหลือต่อเนื่องจากเดิมไปอีกจนครบ 5 ปี แต่ต้องไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2552 ทั้งนี้ ตั๋วสัญญาใช้เงิน ฉบับสุดท้ายของผู้ประกอบวิสาหกิจรายเดิมแต่ละรายต้องถึงกำหนดใช้เงินไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2552
(3) ให้ตั๋วสัญญาใช้เงินของผู้ประกอบวิสาหกิจรายเดิมที่สถาบันการเงินใช้เป็นประกันการกู้ยืมเงินจาก ธปท.ยังมีผลบังคับต่อไป จนกว่าหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่สถาบันการเงินกู้ยืมไว้ตามระเบียบดังกล่าวจะถึงกำหนดชำระโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้ ให้ใช้อัตราดอกเบี้ยเดิมตามที่กำหนดไว้ในตั๋วสัญญาใช้เงิน จนกว่าจะมีการออกตั๋วสัญญาใช้เงินใหม่ตามระเบียบนี้
(4) การออกตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่ผู้ประกอบวิสาหกิจรายเดิมต้องระบุอัตราดอกเบี้ยในตั๋วสัญญาใช้เงินตามระเบียบในข้อ 2.(8) และ ธปท.อนุโลมให้นับอายุการกู้ยืมเสมือนเป็นผู้กู้ยืมใหม่ในการคำนวณอัตราดอกเบี้ย
ให้ใช้ระเบียบนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2550 เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 6 ธันวาคม 2549
(นางธาริษา วัฒนเกส)
ผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ