ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2562

ข่าวเศรษฐกิจ Friday March 1, 2019 14:56 —สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า

ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 50.5 มาอยู่ที่ระดับ 51.5

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนกุมภาพันธ์ 2562 โดยรวมอยู่ที่ระดับ 51.5 ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนมกราคม 2562 ที่ระดับ 50.5 ซึ่งอยู่ในช่วงความเชื่อมั่นสูงสุดเกินเกณฑ์ 50 เป็นเดือนที่ 2 โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับเพิ่มขึ้นทั้งปัจจุบันและอนาคต ชี้ให้เห็นว่าสถานการณ์ความเชื่อมั่นในระดับดังกล่าว จะทำให้ผู้บริโภคมีการใช้จ่ายในทิศทางที่สอดคล้องกับความต้องการ และเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อเงินเฟ้อที่มาจากความต้องการ (Demand Pull) ให้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบัน และอนาคต ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากระดับ 41.4 มาอยู่ที่ 43.3 และจากระดับ 56.6 มาอยู่ที่ระดับ 57.0 ตามลำดับ ชี้ว่าสถานการณ์ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจของไทยมีทิศทางที่ดี สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (อยู่ในระดับเชื่อมั่นทั้งความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม และอนาคต ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 59.8 และ 65.6 มาอยู่ที่ 60.4 และ 68.5 ตามลำดับ ขณะที่ ระดับความเชื่อมั่นปัจจุบันปรับตัวลดลงจาก 51.2 มาอยู่ที่ 48.2)

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค จำแนกตามกลุ่มอาชีพ

กลุ่มที่มีความเชื่อมั่นสูงที่สุด ได้แก่ พนักงานของรัฐ (55.7) รองลงมา ได้แก่ กลุ่มเกษตรกร (52.3) ผู้ประกอบการ (51.0) และพนักงานเอกชน (50.4) ตามลำดับ ข้อบ่งชี้ในกลุ่มที่มีความเชื่อมั่นสูง คือ เป็นกลุ่มที่มีรายได้ มีเงินเดือนประจำ และกลุ่มเกษตรกรที่มีความเชื่อมั่นสูงกว่าระดับ 50 ทุกภูมิภาคซึ่งสอดคล้องกับรายได้เกษตรกร ขยายตัวดีขึ้นจากร้อยละ 1.50 มาเป็น 1.88 (P)(ที่มา : สศก.) ขณะที่กลุ่มอื่นๆ ยังอยู่ในช่วงไม่เชื่อมั่น ได้แก่ ไม่ได้ทำงาน รับจ้างอิสระ และ นักศึกษาที่มีรายได้ไม่แน่นอน มีทัศนคติต่อเศรษฐกิจด้านการเงินและการหางานทำไม่ดีนัก

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค จำแนกรายภาค

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมเดือนกุมภาพันธ์ 2562 จำแนกรายภาค พบว่า ทุกภาคอยู่ในระดับเชื่อมั่น และเปรียบเทียบเดือนมกราคม 2562 จำแนกได้ดังนี้

ผลการศึกษาประเด็นที่น่าสนใจประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2562

ภาระหนี้สินของประชาชน

จากผลการสำรวจ พบว่า ผู้บริโภคร้อยละ 30.0 ไม่มีภาระหนี้สิน ในขณะที่ร้อยละ 70.0 มีภาระหนี้สิน และส่วนใหญ่เป็นภาระหนี้ในระบบ (ร้อยละ 89.7) ส่วนภาระหนี้นอกระบบมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 5.9 ที่เหลือเป็นกลุ่มที่มีหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ (ร้อยละ 4.4) โดยกลุ่มที่มีภาระหนี้สิน มีความเห็นว่า ภาระหนี้ดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อการบริโภคของตนมากร้อยละ 34.1 ในขณะที่ร้อยละ 51.9 เห็นว่ามีผลกระทบน้อยและไม่มีผลกระทบ ร้อยละ 14.0 อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคร้อยละ 47.4 ยังมีความเห็นว่า รายได้ยังไม่ค่อยเพียงพอต่อการใช้จ่าย

สัดส่วนการออม

จากผลการสำรวจ พบว่า ผู้บริโภคมีพฤติกรรมการออมโดยเฉลี่ยร้อยละ 12.1 ของรายได้ โดยกลุ่มที่มีสัดส่วนการออมมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มนักศึกษา ร้อยละ 17.6 ของรายได้ รองลงมา ได้แก่ กลุ่มพนักงานของรัฐ ร้อยละ 13.3 ผู้ประกอบการ ร้อยละ 12.5 รับจ้างอิสระ ร้อยละ 11.1 ในขณะที่ กลุ่มเกษตรกร กลุ่มพนักงานเอกชน และกลุ่มไม่ได้ทำงาน มีสัดส่วนการออมต่ำที่สุด (ร้อยละ 10.8 ร้อยละ 10.7 และร้อยละ 9.5 ของรายได้ ตามลำดับ)

ในจำนวนนี้พบว่า กลุ่มที่มีรายได้ต่ำ (รายได้ต่ำกว่า 5,000 บาท/เดือน) มีสัดส่วนการออมร้อยละ 12.9 กลุ่มผู้มีรายได้น้อย (รายได้ 5,000 - 10,000 บาท/เดือน) มีสัดส่วนการออมร้อยละ 11.4 ของรายได้ และกลุ่มผู้มีรายได้สูง (รายได้มากกว่า 100,000 บาท/เดือน) มีสัดส่วนการออมถึงร้อยละ 17.9 ของรายได้ (ซึ่งมีรายได้เพียงพอกับรายจ่ายคิดเป็นร้อยละ 13.2 และค่อนข้างพอร้อยละ 58.8)

ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการนำไปใช้วิเคราะห์พฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนในกลุ่มเป้าหมาย (Marginal Propensity to Consume: MPC) และผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในรูปแบบต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง ซึ่งจะส่งผลให้การดำเนินนโยบาย/มาตรการของภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ที่มา: สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ โทร. 0-2507-5850 โทรสาร. 0-2507-5825


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ