ดัชนีราคาส่งออก-นำเข้าของประเทศเดือนสิงหาคม 2563

ข่าวเศรษฐกิจ Friday September 25, 2020 15:05 —สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า

ดัชนีราคาส่งออก เดือนสิงหาคม 2563 เทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน ยังคงหดตัวน้อยลงอย่างต่อเนื่อง อยู่ที่ร้อยละ 0.4 (YoY) ปัจจัยหลักเป็นผลจากราคาน้ำมันดิบโลกทยอยปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าโลกมีทิศทางดีขึ้น ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ประกอบกับฐานราคาน้ำมันที่ต่ำในช่วงปีก่อนหน้า ส่งผลให้หมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิง และหมวดสินค้าอุตสาหกรรม หดตัวในอัตราที่น้อยลงเช่นกัน ที่ร้อยละ 21.6 และ 0.2 ตามลำดับ ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันดิบ เม็ดพลาสติก เครื่องใช้ไฟฟ้า โดยเฉพาะเครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง และผลิตภัณฑ์พลาสติก ขณะที่หมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร และหมวดสินค้าเกษตรกรรม ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 3.6 และ 2.6 ตามลำดับ ได้แก่ น้ำตาลทราย อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลไม้กระป๋องและแปรรูป ไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป ยางพารา ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง และข้าว ซึ่งเป็นไปตามความต้องการบริโภคสินค้าเกษตรและกลุ่มสินค้าอาหารที่จำเป็นเพิ่มขึ้น

ดัชนีราคานำเข้า เดือนสิงหาคม 2563 เทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน ลดลงร้อยละ 0.9 (YoY)หมวดสินค้าที่ดัชนีราคานำเข้าปรับลดลง ประกอบด้วย หมวดสินค้าเชื้อเพลิงเป็นหลัก ลดลงร้อยละ 14.8 ได้แก่ น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติปิโตรเลียม และน้ำมันสำเร็จรูป เนื่องจากตลาดราคาน้ำมันดิบโลกลดลงจากปีก่อนหน้า ตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และหมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง ลดลงร้อยละ 0.5 ได้แก่ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ และรถยนต์โดยสารและรถบรรทุก ขณะที่หมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป สูงขึ้นร้อยละ 2.1 ได้แก่ ทองคำ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า และพืชและผลิตภัณฑ์จากพืชอื่น ๆ หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค สูงขึ้นร้อยละ 1.6 ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน โดยเฉพาะเครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ เครื่องประดับอัญมณี ผัก ผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผัก ผลไม้ และกาแฟ ชา เครื่องเทศ และหมวดสินค้าทุน สูงขึ้นร้อยละ 0.9 ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องมือ เครื่องใช้ทางวิทยาศาสตร์ การแพทย์ การทดสอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ และผลิตภัณฑ์โลหะ

แนวโน้มราคาส่งออก-นำเข้าของไทย ปี 2563 คาดว่าจะมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างช้าๆ ในช่วงครึ่งปีหลัง โดยมีปัจจัยกดดัน ได้แก่ 1) ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ความต้องการสินค้าสำคัญของโลกชะลอตัว 2) ราคาน้ำมันดิบโลกยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า 3) ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง 4) ค่าเงินบาทแข็งค่ากระทบต่อความสามารถทางการแข่งขันด้านราคา อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยสนับสนุนให้ราคาส่งออก-นำเข้าสูงขึ้น ได้แก่ 1) ปัญหาภัยธรรมชาติส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตร และสินค้าเกษตรแปรรูปสูงขึ้น 2) การปรับตัวสูงขึ้นชั่วคราวของราคาทองคำ 3) สินค้าที่อยู่ในกระแสความต้องการของตลาด โดยเฉพาะสินค้าเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และการสื่อสาร

อัตราการค้า (Term of Trade) เดือนสิงหาคม 2563

อัตราการค้าของไทย ในเดือนสิงหาคม 2563 เท่ากับ 109.0 (เดือนกรกฎาคม 2563 เท่ากับ 109.6) ทั้งนี้ อัตราการค้ายังสูงกว่า 100 แสดงว่า ประเทศไทยยังมีความสามารถทางการแข่งขันที่ดี โดยกลุ่มสินค้าที่ไทยยังมีศักยภาพในการแข่งขัน ได้แก่ เคมีภัณฑ์ ผักและผลไม้กระป๋องและแปรรูป และของปรุงแต่งทำจากผักและผลไม้ ซึ่งเป็นไปตามความต้องการของตลาดโลก ประกอบกับต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น และปริมาณผลผลิตทางการเกษตรที่ออกสู่ตลาดน้อยลง ขณะที่กลุ่มสินค้าที่ราคานำเข้าสูงกว่าราคาที่ได้รับจากการส่งออก ได้แก่ น้ำมันดิบ ทองคำ และน้ำมันสำเร็จรูป เนื่องจากคุณภาพสินค้ามีลักษณะที่แตกต่างกัน รวมทั้งทองคำ ราคาส่งออกเป็นไปตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งในปัจจุบันต่ำกว่าราคานำเข้า ที่มีการนำเข้าเพื่อรอการเก็งกำไรในช่วงต่อไปตามวัฏจักรราคาทองคำขาขึ้น เป็นต้น

ดัชนีราคาส่งออกประจำเดือนสิงหาคม ปี 2563

1. ดัชนีราคาส่งออกของประเทศเดือนสิงหาคม 2563 เท่ากับ 100.5 (ปีฐาน 2555 = 100) (เดือนกรกฎาคม 2563 เท่ากับ 100.2) โดยดัชนีราคาส่งออกหมวดสินค้าเกษตรกรรม เท่ากับ 104.8 หมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร เท่ากับ 110.1 หมวดสินค้าอุตสาหกรรม เท่ากับ 102.6 และหมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิง เท่ากับ 60.2

2. การเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาส่งออกของประเทศเดือนสิงหาคม 2563 เมื่อเทียบกับ

2.1 เทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM) สูงขึ้นร้อยละ 0.3 โดยมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้

ดัชนีราคาส่งออกปรับตัวสูงขึ้นทุกหมวดสินค้า ตามทิศทางการปรับตัวดีขึ้นของสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ประกอบด้วย หมวดสินค้าเกษตรกรรม สูงขึ้นร้อยละ 1.3 ได้แก่ ยางพารา ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เนื่องจากปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยลง ขณะที่ความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับข้าว ราคาสูงขึ้นเนื่องจากผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ประสบปัญหาภัยธรรมชาติและการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ไทยมีโอกาสส่งออกได้มากขึ้น นอกจากนี้ ไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป ยังเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่อง หมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร สูงขึ้นร้อยละ 1.1 จากน้ำตาลทรายเป็นสำคัญ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น และความต้องการนำเข้าน้ำตาลจากประเทศจีนที่เพิ่มขึ้น หมวดสินค้าอุตสาหกรรม สูงขึ้นร้อยละ 0.1 ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้า โดยเฉพาะเครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ ตามคำสั่งซื้อที่มีเข้ามามากขึ้น นอกจากนี้ เม็ดพลาสติก และผลิตภัณฑ์พลาสติก ตามราคาสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น และ ทองคำ เนื่องจากความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้นจากความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และหมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิง สูงขึ้นเล็กน้อยที่ร้อยละ 2.6 ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป และน้ำมันดิบ ตามกำลังการผลิตที่มีแนวโน้มปรับลดลง ขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันปรับตัวสูงขึ้น

2.2 เทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อนหน้า (YoY) ลดลงร้อยละ 0.4 โดยมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้

หมวดสินค้าที่ดัชนีราคาส่งออกปรับตัวลดลง ประกอบด้วย หมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิง ลดลงร้อยละ 21.6 ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป และน้ำมันดิบ ตามความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกที่ชะลอตัว จากผลกระทบการระบาดของไวรัสโควิด-19 และหมวดสินค้าอุตสาหกรรม ลดลงร้อยละ 0.2 ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก เครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น ตู้เย็น และเครื่องคอมเพรสเซอร์ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์พลาสติก และเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ตามความต้องการสินค้าที่ลดลงจากผลกระทบการระบาดของไวรัสโควิด-19 ประกอบกับสินค้าบางกลุ่มเกี่ยวเนื่องกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงในช่วงก่อนหน้า ขณะที่หมวดสินค้าที่ดัชนีราคาส่งออกปรับสูงขึ้น ประกอบด้วย หมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร สูงขึ้นร้อยละ 3.6 ได้แก่ น้ำตาลทราย อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และผลไม้กระป๋องและแปรรูป ซึ่งเป็นไปตามความต้องการบริโภคสินค้าประเภทอาหารจากทั่วโลกเพิ่มขึ้น และหมวดสินค้าเกษตรกรรม สูงขึ้นร้อยละ 2.6 ได้แก่ ไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป ยางพารา ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง และข้าว ตามความต้องการของตลาดคู่ค้าที่มีอย่างต่อเนื่อง

2.3 เฉลี่ย 8 เดือน ม.ค.-ส.ค. ปี 2563 เทียบกับปี 2562 (AoA) ลดลงร้อยละ 1.1 โดยมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้

หมวดสินค้าที่ดัชนีราคาส่งออกปรับลดลง ประกอบด้วย หมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิง ลดลงร้อยละ 25.0 ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป และน้ำมันดิบ ตามราคาน้ำมันดิบโลกที่ปรับตัวลดลงในช่วงก่อนหน้า และหมวดสินค้าอุตสาหกรรม ลดลงร้อยละ 0.6 ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์พลาสติก ทองแดงและของทำด้วยทองแดง และเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เป็นผลจากความต้องการสินค้าชะลอตัวตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลก และสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับราคาน้ำมัน ขณะที่หมวดสินค้าเกษตรกรรม สูงขึ้นร้อยละ 2.0 ได้แก่ ข้าว ไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป และผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง ตามความต้องการสินค้าที่มีอย่างต่อเนื่อง และหมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร สูงขึ้นร้อยละ 1.6 ได้แก่ น้ำตาลทราย อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และผลไม้กระป๋องและแปรรูป ตามความต้องการสินค้าในหมวดอาหารที่ขยายตัว เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19

ดัชนีราคานำเข้าประจำเดือนสิงหาคม ปี 2563

1. ดัชนีราคานำเข้าของประเทศเดือนสิงหาคม 2563 เท่ากับ 92.2 (ปีฐาน 2555 = 100) (เดือนกรกฎาคม 2563 เท่ากับ 91.4) โดยดัชนีราคานำเข้าหมวดสินค้าเชื้อเพลิง เท่ากับ 57.0 หมวดสินค้าทุน เท่ากับ 104.9 หมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป เท่ากับ 100.7 หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค เท่ากับ 104.8 และหมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง เท่ากับ 96.1

2. การเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคานำเข้าของประเทศเดือนสิงหาคม 2563 เมื่อเทียบกับ

2.1 เทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM) สูงขึ้นร้อยละ 0.9 โดยมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้

หมวดสินค้าที่ดัชนีราคานำเข้าปรับสูงขึ้น ประกอบด้วย หมวดสินค้าเชื้อเพลิง สูงขึ้นร้อยละ 2.9 ได้แก่ น้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป และก๊าซธรรมชาติปิโตรเลียม เนื่องจากราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มขยับเพิ่มขึ้น สะท้อนถึงสัญญาณการฟื้นตัวจากตัวเลขทางเศรษฐกิจ ที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่หนุนให้สภาพเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมันมีแนวโน้มที่ดีขึ้น หมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป สูงขึ้นร้อยละ 0.9 ได้แก่ ทองคำ เนื่องมาจากได้รับแรงหนุนจากการเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย แผงวงจรไฟฟ้า เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ และปุ๋ย หมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง สูงขึ้นร้อยละ 0.5 ได้แก่ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ ส่วนประกอบและอุปกรณ์จักรยานยนต์ และรถจักรยาน และรถจักรยานยนต์ หมวดสินค้าอุปโภคและบริโภค สูงขึ้นร้อยละ 0.2 ได้แก่เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เครื่องประดับอัญมณี เนื้อสัตว์สำหรับการบริโภค และเครื่องสำอาง และหมวดสินค้าทุน สูงขึ้นร้อยละ 0.1 ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ สินค้าทุนอื่น ๆ และผลิตภัณฑ์โลหะ

2.2 เทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อนหน้า (YoY) ลดลงร้อยละ 0.9 โดยมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้

หมวดสินค้าที่ดัชนีราคานำเข้าปรับลดลง ประกอบด้วย หมวดสินค้าเชื้อเพลิงเป็นหลัก ลดลงร้อยละ 14.8 ได้แก่ น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติปิโตรเลียม น้ำมันสำเร็จรูป และถ่านหิน เนื่องจากตลาดราคาน้ำมันดิบโลกลดลงจากปีก่อนหน้า ตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และหมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง ลดลงร้อยละ 0.5 ได้แก่ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ และรถยนต์โดยสารและรถบรรทุก ขณะที่หมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป สูงขึ้นร้อยละ 2.1 ได้แก่ ทองคำ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า พืชและผลิตภัณฑ์จากพืชอื่น ๆ และสารปรุงแต่งที่ใช้หล่อลื่นหรือเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค สูงขึ้นร้อยละ 1.6 ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เครื่องประดับอัญมณี ผัก ผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผัก ผลไม้ และกาแฟ ชา เครื่องเทศ และหมวดสินค้าทุน สูงขึ้นร้อยละ 0.9 ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องมือ เครื่องใช้ทางวิทยาศาสตร์ การแพทย์ การทดสอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ และผลิตภัณฑ์โลหะ

2.3 เฉลี่ย 8 เดือน (ม.ค.-ส.ค.) ปี 2563 เทียบกับปี 2562 (AoA) ลดลงร้อยละ 2.7 โดยมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้

หมวดสินค้าที่ดัชนีราคานำเข้าปรับลดลง ประกอบด้วย หมวดสินค้าเชื้อเพลิง ลดลงร้อยละ 23.7 ได้แก่ น้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป และก๊าซธรรมชาติปิโตรเลียม ขณะที่หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค สูงขึ้นร้อยละ 1.8 ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เครื่องประดับอัญมณี ผัก ผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผัก ผลไม้ และกาแฟ ชา เครื่องเทศ หมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป สูงขึ้นร้อยละ 1.5 ได้แก่ ทองคำ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า สารปรุงแต่งที่ใช้หล่อลื่นหรือเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา และพืชและผลิตภัณฑ์จากพืชอื่น ๆ หมวดสินค้าทุน สูงขึ้นร้อยละ 1.2 ได้แก่ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องมือ เครื่องใช้ทางวิทยาศาสตร์ การแพทย์ การทดสอบ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ และผลิตภัณฑ์โลหะ และหมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง สูงขึ้นร้อยละ 0.3 ได้แก่ รถยนต์นั่ง ส่วนประกอบและอุปกรณ์อื่นๆ รถยนต์โดยสารและรถบรรทุก และยานพาหนะอื่น ๆ

ที่มา: สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ