คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานโครงการชุบชีวิตธุรกิจไทย ระยะที่ 1 และ ระยะที่ 2 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2544 อนุมัติให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรม ส่งเสริมอุตสาหกรรม ดำเนินงานโครงการชุบชีวิตธุรกิจไทย และสำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณสำรองเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2545 จำนวน 1,882.46 ล้านบาท เพื่อจัดที่ปรึกษาเข้าไปให้ความช่วยเหลือวิสาหกิจ จำนวน 2,600 กิจการ การบริหารกำกับโครงการฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้แต่งตั้งคณะกรรมการกำกับติดตามโครงการ เพื่อกำหนดนโยบายแนว-ทางการทำงาน การพิจารณาจัดสรรจำนวนวิสาหกิจและงบประมาณให้ถึงหน่วยร่วมบริหาร ขณะเดียวกันกรมส่งเสริมอุตสาห-กรรม ได้แต่งตั้งคณะทำงานประสานโครงการ เพื่อทำหน้าที่ประสานติดตามและรายงานความก้าวหน้าของโครงการ นอกจากนี้ได้ว่าจ้างสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สถาบันอิสระในการกำกับของกระทรวงการคลัง) ให้ติดตามประเมินผลการดำเนินงานทั้งในระหว่างการดำเนินโครงการและผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดขึ้นจากโครงการฯ
การดำเนินโครงการ ระยะที่ 1
สถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลังได้จัดทำรายงานผลการติดตามประเมินผลโครงการฯ สรุปได้ว่าในภาพรวม วิสาหกิจมีปัญหาในเรื่องการจัดการร้อยละ 20.7 ทรัพยากรบุคคล ร้อยละ 19.2 การผลิตร้อยละ 17.4 การตลาดร้อยละ 13.1 วัตถุดิบร้อยละ 9.9 การเงินและบัญชีร้อยละ 9.5 และอื่น ๆ ร้อยละ 10.2 และจากการที่ที่ปรึกษาเข้าไปช่วยเหลือแก้ไขปัญหาวิสาหกิจนั้น สามารถช่วยปรับปรุงและแก้ไขปัญหาได้ร้อยละ 98.5 และไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ร้อยละ 1.5 นอกจากนี้ การดำเนินงานของโครงการฯ ยังส่งผลกระทบไปยังเชิงประสิทธิภาพของวิสาหกิจและผลทางเศรษฐกิจและสังคม ดังนี้
1) ด้านต้นทุน กิจการที่ระบุว่ามีต้นทุนลดลง มีจำนวนร้อยละ 35.73 ของวิสาหกิจที่ติดตามประเมินผลทั้งหมด โดยกิจการมีต้นทุนลดลงเมื่อเทียบกับก่อนการเข้าร่วมโครงการเฉลี่ยร้อยละ 5.6 คิดเป็นมูลค่าเฉลี่ย 1.89 ล้านบาท/กิจการ/ปี
2) ด้านยอดขาย กิจการที่มีการระบุว่ายอดขายเพิ่มขึ้น มีจำนวนร้อยละ 36.38 ของกิจการที่ติดตามประเมินผลทั้งหมด โดยกิจการมียอดขายที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับก่อนการเข้าร่วมโครงการเฉลี่ยร้อยละ 7.81 คิดเป็นมูลค่ายอดขายที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3.71 ล้านบาท/กิจการ/ปี
3) ด้านความสามารถในการทำกำไร กิจการที่ระบุว่ามีความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้นมีจำนวน ร้อยละ 33.32 ของกิจการที่ติดตามประเมินผลทั้งหมด โดยกิจการมีความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับก่อนเข้าร่วมโครงการเฉลี่ยร้อยละ 4.73
4) ด้านการจ้างงาน จากการประเมินผลพบว่าจำนวนพนักงานก่อนและหลังการเข้าร่วมโครงการพบว่า กิจกรที่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 30.8 หลังเข้าร่วมโครงการ หรือคิดเป็นจำนวน 2.8 คน/กิจการ ในภาพรวม สถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลังได้ประเมินผลประโยชน์เฉลี่ย/ กิจการ/ปี คิดเป็นมูลค่า 5.7 ล้านบาท/กิจการ/ปี และได้ประเมินความ พึงพอใจของวิสาหกิจที่เข้าร่วมโครงการ พบว่าวิสาหกิจมีความพึงพอใจโครงการฯ ในระดับดี (เกรด B) โดยพิจารณาจากความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหา ความชัดเจนในวิธีการปรึกษาแนะนำ การให้คำปรึกษาแนะนำได้ผล ตามที่ต้องการ
การดำเนินโครงการ ระยะที่ 2
1) ความคืบหน้าโครงการระยะที่ 2
กระทรวงอุตสาหกรรมได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้นำงบประมาณเหลือจ่าย 490.58 ล้านบาท มาดำเนินโครงการฯ ระยะที่ 2 จำนวน 1,100 กิจการ โดยมีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และหน่วยงานบริหารเดิม 7 หน่วยงาน และเพิ่มใหม่อีก 1 หน่วยงาน คือ สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นผู้ดำเนินการ
2) การติดตามประเมินผล
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้ว่าจ้างสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลังให้ทำการติดตามประเมินผลโครง-การระยะที่ 2 นี้ด้วย ซึ่งล่าสุดสถาบันฯ ได้รายงานข้อมูลเบื้องต้นของการติดตามประเมินผลระหว่างการดำเนินงานโครงการฯ พบว่า โดยส่วนใหญ่อยู่ในระดับพอใช้ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.58 (คะแนนเต็ม 4) และจากการโทรศัพท์สอบถามผู้ประกอบการครั้งที่ 1 พบว่าส่วนใหญ่อยู่ในระดับดี โดยค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.07 เมื่อได้ทำการเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักโดยให้การวิเคราะห์รายงานร้อยละ 40 และการโทรศัพท์สอบถามร้อยละ 60 พบว่าโดยส่วนใหญ่อยู่ในระดับค่อนข้างดี โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.87 และจากการวิเคราะห์รายงานระหว่างการปฏิบัติงาน พบว่าส่วนใหญ่อยู่ในระดับค่อนข้างดี โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.73 เมื่อเปรียบเทียบกับการวิเคราะห์รายงาน ข้อเสนอโครงการแล้วพบว่าดีขึ้นร้อยละ 5.81 ซึ่งเป็นข้อสังเกตว่าผลลัพธ์ และความพึงพอใจของวิสาหกิจที่เข้าร่วมโครงการมี แนวโน้มที่ดีขึ้น
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 24 สิงหาคม 2547--จบ--
-กภ-
การดำเนินโครงการ ระยะที่ 1
สถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลังได้จัดทำรายงานผลการติดตามประเมินผลโครงการฯ สรุปได้ว่าในภาพรวม วิสาหกิจมีปัญหาในเรื่องการจัดการร้อยละ 20.7 ทรัพยากรบุคคล ร้อยละ 19.2 การผลิตร้อยละ 17.4 การตลาดร้อยละ 13.1 วัตถุดิบร้อยละ 9.9 การเงินและบัญชีร้อยละ 9.5 และอื่น ๆ ร้อยละ 10.2 และจากการที่ที่ปรึกษาเข้าไปช่วยเหลือแก้ไขปัญหาวิสาหกิจนั้น สามารถช่วยปรับปรุงและแก้ไขปัญหาได้ร้อยละ 98.5 และไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ร้อยละ 1.5 นอกจากนี้ การดำเนินงานของโครงการฯ ยังส่งผลกระทบไปยังเชิงประสิทธิภาพของวิสาหกิจและผลทางเศรษฐกิจและสังคม ดังนี้
1) ด้านต้นทุน กิจการที่ระบุว่ามีต้นทุนลดลง มีจำนวนร้อยละ 35.73 ของวิสาหกิจที่ติดตามประเมินผลทั้งหมด โดยกิจการมีต้นทุนลดลงเมื่อเทียบกับก่อนการเข้าร่วมโครงการเฉลี่ยร้อยละ 5.6 คิดเป็นมูลค่าเฉลี่ย 1.89 ล้านบาท/กิจการ/ปี
2) ด้านยอดขาย กิจการที่มีการระบุว่ายอดขายเพิ่มขึ้น มีจำนวนร้อยละ 36.38 ของกิจการที่ติดตามประเมินผลทั้งหมด โดยกิจการมียอดขายที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับก่อนการเข้าร่วมโครงการเฉลี่ยร้อยละ 7.81 คิดเป็นมูลค่ายอดขายที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3.71 ล้านบาท/กิจการ/ปี
3) ด้านความสามารถในการทำกำไร กิจการที่ระบุว่ามีความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้นมีจำนวน ร้อยละ 33.32 ของกิจการที่ติดตามประเมินผลทั้งหมด โดยกิจการมีความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับก่อนเข้าร่วมโครงการเฉลี่ยร้อยละ 4.73
4) ด้านการจ้างงาน จากการประเมินผลพบว่าจำนวนพนักงานก่อนและหลังการเข้าร่วมโครงการพบว่า กิจกรที่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 30.8 หลังเข้าร่วมโครงการ หรือคิดเป็นจำนวน 2.8 คน/กิจการ ในภาพรวม สถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลังได้ประเมินผลประโยชน์เฉลี่ย/ กิจการ/ปี คิดเป็นมูลค่า 5.7 ล้านบาท/กิจการ/ปี และได้ประเมินความ พึงพอใจของวิสาหกิจที่เข้าร่วมโครงการ พบว่าวิสาหกิจมีความพึงพอใจโครงการฯ ในระดับดี (เกรด B) โดยพิจารณาจากความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหา ความชัดเจนในวิธีการปรึกษาแนะนำ การให้คำปรึกษาแนะนำได้ผล ตามที่ต้องการ
การดำเนินโครงการ ระยะที่ 2
1) ความคืบหน้าโครงการระยะที่ 2
กระทรวงอุตสาหกรรมได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้นำงบประมาณเหลือจ่าย 490.58 ล้านบาท มาดำเนินโครงการฯ ระยะที่ 2 จำนวน 1,100 กิจการ โดยมีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และหน่วยงานบริหารเดิม 7 หน่วยงาน และเพิ่มใหม่อีก 1 หน่วยงาน คือ สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นผู้ดำเนินการ
2) การติดตามประเมินผล
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้ว่าจ้างสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลังให้ทำการติดตามประเมินผลโครง-การระยะที่ 2 นี้ด้วย ซึ่งล่าสุดสถาบันฯ ได้รายงานข้อมูลเบื้องต้นของการติดตามประเมินผลระหว่างการดำเนินงานโครงการฯ พบว่า โดยส่วนใหญ่อยู่ในระดับพอใช้ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.58 (คะแนนเต็ม 4) และจากการโทรศัพท์สอบถามผู้ประกอบการครั้งที่ 1 พบว่าส่วนใหญ่อยู่ในระดับดี โดยค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.07 เมื่อได้ทำการเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักโดยให้การวิเคราะห์รายงานร้อยละ 40 และการโทรศัพท์สอบถามร้อยละ 60 พบว่าโดยส่วนใหญ่อยู่ในระดับค่อนข้างดี โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.87 และจากการวิเคราะห์รายงานระหว่างการปฏิบัติงาน พบว่าส่วนใหญ่อยู่ในระดับค่อนข้างดี โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.73 เมื่อเปรียบเทียบกับการวิเคราะห์รายงาน ข้อเสนอโครงการแล้วพบว่าดีขึ้นร้อยละ 5.81 ซึ่งเป็นข้อสังเกตว่าผลลัพธ์ และความพึงพอใจของวิสาหกิจที่เข้าร่วมโครงการมี แนวโน้มที่ดีขึ้น
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 24 สิงหาคม 2547--จบ--
-กภ-