คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการการจัดระบบโลจิสติกส์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเสนอ และมอบหมายให้ทุกกระทรวงจดทำรายละเอียดแผนการดำเนินการปรับปรุงพัฒนา และงบประมาณค่าใช้จ่ายตามลำดับความสัมพันธ์ตามความเร่งด่วนในส่วนที่เกี่ยวข้อง ส่งคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ภายใน 1 เดือน เพื่อประมวลข้อมูลในภาพรวมและนำเสนอคณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศพิจารณาต่อไป
ทั้งนี้คณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้เสนอการจัดระบบโลจิสติกส์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย ดังนี้
1. ด้านโครงสร้างพื้นฐาน
(1) กระทรวงคมนาคมเร่งรัดโครงการสำคัญและเตรียมการเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อเชื่อมโยงการขนส่งบริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก (ESB) โดย
(1.1) การรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งรัดการก่อสร้างทางคู่ ช่วงฉะเชิงเทรา - ศรีราชา - ท่าเรือแหลมฉบัง ให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายในปี 2550
(1.2) การรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งดำเนินการพัฒนาสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง (ICD) ลาดกระบัง ระยะที่ 2 เพื่อบรรเทาปัญหาความแออัดของ ICD ระยะที่ 1 และรองรับการขยายตัวของการขนส่งตู้สินค้าให้สอดคล้องกับการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 2
(1.3) การท่าเรือแห่งประเทศไทยเตรียมการศึกษาความเหมาะสมในการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 3 เพื่อรองรับปริมาณตู้สินค้าผ่านท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 7 ล้าน TEU ในปี 2557
(2) กระทรวงอุตสาหกรรม โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมกับการรถไฟแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พิจารณาแนวทางการบริหารจัดการตู้คอนเทนเนอร์ เพื่อแก้ไขปัญหาการขนตู้เปล่าเที่ยวเดียว ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนของผู้ประกอบการ และลดปริมาณการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์
2. ด้านกฎหมาย กฎระเบียบ และมาตรการ
(1) กระทรวงคมนาคม
(1.1) เร่งพิจารณากฎหมายกำหนดน้ำหนัก และความสูงของรถบรรทุกที่จะเอื้ออำนวยต่อการขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี ใน 3 เดือน
(1.2) เร่งผลักดันกฎหมาย Multimodal Transport Operator (MTO) ซึ่งอยู่ระหว่างการนำเสนอวุฒิสภา เพื่อสร้างความชัดเจนในเรื่องของสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบของผู้ที่เกี่ยวข้องให้เป็นมาตรฐานสากล เพื่อให้ผู้ประกอบการ MTO ของไทยสามารถแข่งขันได้
(2) กระทรวงการคลัง ศึกษาประเด็นเรื่อง Re-Export Tax ซึ่งเป็นภาระและต้นทุนของผู้ประกอบการ ในขณะที่ Freeport อื่น ๆ จะไม่มีภาษีส่วนนี้
(3) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม เร่งผลักดันกฎหมายลูกในเรื่อง E-Transactions ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 ในส่วนที่เกี่ยวกับการกำหนดประเภทธุรกรรมที่มิให้ดำเนินการด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ การกำหนดวิธีการแบบปลอดภัย การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ และการกำหนดประเภทธุรกิจบริการที่ต้องกำกับดูแล
3. ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและระบบข้อมูล
(1) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ผลักดันการเชื่อมต่อข้อมูลเนื่องจากระบบ Single Window Entry (ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐ) โดยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม มีการเชื่อมโยงข้อมูลต่อเนื่องตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน (ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ)
(2) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สนับสนุนการร่วมมือของสถาบันและธุรกิจภาคเอกชนในรูปแบบที่เหมาะสม เช่น Logistics Groups/Council เพื่อเป็นแกนในการประสานเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานภาครัฐ รวมทั้งการจัดทำข้อมูลต้นทุนโลจิสติกส์รายอุตสาหกรรมเพิ่มเติมจากที่ดำเนินการอยู่แล้ว
4. ด้านบุคลากรโลจิสติกส์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ร่วมมือในการสร้างและพัฒนาบุคลากรด้านโลจิสติกส์ ทั้งในด้านปริมาณและการสร้างความชำนาญเฉพาะด้าน (เช่น Supply Chain Management) โดยการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน ให้ทุนการศึกษา การจัดทำมาตรฐานวิชาชีพ และการพัฒนาองค์ความรู้ด้านโลจิสติกส์
5. ด้านการบริหารจัดการและติดตามผลการดำเนินงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จัดทำรูปแบบและกลไกการผลักดัน ประสานงาน และติดตามผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์และมาตรการต่าง ๆ รวมทั้งการปรับยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และรายงานต่อคณะรัฐมนตรีทุก 3 เดือน
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย รายงานเป้าหมายและยุทธศาสตร์การยกระดับโลจิสติกส์ไทย สรุปได้ดังนี้
1. เป้าหมายการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ จากความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของไทยและศักยภาพการขยายการค้าและการลงทุนตามแนวนโยบายการเปิดเสรีการค้ากับประเทศคู่ค้า การขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน จึงควรผลักดันนโยบายให้ไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาคอินโดจีน ซึ่งจะนำไปสู่การเป็นศูนย์กลางของการค้า การลงทุน ตลอดจนวัฒนธรรม ทั้งนี้ การจะบรรจุเป้าหมายดังกล่าวจะต้องให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้ธุรกิจมีต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ (Cost Efficiency) มีความเร็ว (Responsiveness) และความเชื่อถือได้ (Reliability) ในการจัดส่งสินค้าและบริการไปสู่ผู้บริโภคในประเทศและต่างประเทศ
2. ความจำเป็นในการยกระดับโลจิสติกส์ทั้งระบบ การยกระดับโลจิสติกส์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศจำเป็นต้องดำเนินการทั้งระบบ กล่าวคือ นอกจากระบบการขนส่งแล้ว ยังต้องให้ความสำคัญกับการจัดซื้อ การจัดการสินค้าคงคลัง การกระจายสินค้า และการจัดการข้อมูลและการเงิน ทั้งนี้การจัดการระบบโลจิสติกส์ที่ดีจะทำให้เกิดความได้เปรียบเชิงต้นทุน (Comparative Cost Advantage) การเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ การใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า และ คำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะทำให้เกิดความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน
3. การพัฒนารูปแบบการขนส่งทางเลือก แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนปัญหาการใช้การขนส่งทางบกอย่างไม่เหมาะสม สะท้อนถึงความจำเป็นในการขยาย Mode การขนส่งในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ทางน้ำ ทางราง และทางท่อ ควบคู่ไปกับการจัดการขนส่งต่อเนื่องระหว่างรูปแบบต่าง ๆ (Multimodal Transport) อย่างมีประสิทธิภาพ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 9 พฤศจิกายน 2547--จบ--
-กภ-
ทั้งนี้คณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้เสนอการจัดระบบโลจิสติกส์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย ดังนี้
1. ด้านโครงสร้างพื้นฐาน
(1) กระทรวงคมนาคมเร่งรัดโครงการสำคัญและเตรียมการเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อเชื่อมโยงการขนส่งบริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก (ESB) โดย
(1.1) การรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งรัดการก่อสร้างทางคู่ ช่วงฉะเชิงเทรา - ศรีราชา - ท่าเรือแหลมฉบัง ให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายในปี 2550
(1.2) การรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งดำเนินการพัฒนาสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง (ICD) ลาดกระบัง ระยะที่ 2 เพื่อบรรเทาปัญหาความแออัดของ ICD ระยะที่ 1 และรองรับการขยายตัวของการขนส่งตู้สินค้าให้สอดคล้องกับการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 2
(1.3) การท่าเรือแห่งประเทศไทยเตรียมการศึกษาความเหมาะสมในการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 3 เพื่อรองรับปริมาณตู้สินค้าผ่านท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 7 ล้าน TEU ในปี 2557
(2) กระทรวงอุตสาหกรรม โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมกับการรถไฟแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พิจารณาแนวทางการบริหารจัดการตู้คอนเทนเนอร์ เพื่อแก้ไขปัญหาการขนตู้เปล่าเที่ยวเดียว ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนของผู้ประกอบการ และลดปริมาณการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์
2. ด้านกฎหมาย กฎระเบียบ และมาตรการ
(1) กระทรวงคมนาคม
(1.1) เร่งพิจารณากฎหมายกำหนดน้ำหนัก และความสูงของรถบรรทุกที่จะเอื้ออำนวยต่อการขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี ใน 3 เดือน
(1.2) เร่งผลักดันกฎหมาย Multimodal Transport Operator (MTO) ซึ่งอยู่ระหว่างการนำเสนอวุฒิสภา เพื่อสร้างความชัดเจนในเรื่องของสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบของผู้ที่เกี่ยวข้องให้เป็นมาตรฐานสากล เพื่อให้ผู้ประกอบการ MTO ของไทยสามารถแข่งขันได้
(2) กระทรวงการคลัง ศึกษาประเด็นเรื่อง Re-Export Tax ซึ่งเป็นภาระและต้นทุนของผู้ประกอบการ ในขณะที่ Freeport อื่น ๆ จะไม่มีภาษีส่วนนี้
(3) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม เร่งผลักดันกฎหมายลูกในเรื่อง E-Transactions ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 ในส่วนที่เกี่ยวกับการกำหนดประเภทธุรกรรมที่มิให้ดำเนินการด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ การกำหนดวิธีการแบบปลอดภัย การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ และการกำหนดประเภทธุรกิจบริการที่ต้องกำกับดูแล
3. ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและระบบข้อมูล
(1) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ผลักดันการเชื่อมต่อข้อมูลเนื่องจากระบบ Single Window Entry (ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐ) โดยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม มีการเชื่อมโยงข้อมูลต่อเนื่องตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน (ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ)
(2) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สนับสนุนการร่วมมือของสถาบันและธุรกิจภาคเอกชนในรูปแบบที่เหมาะสม เช่น Logistics Groups/Council เพื่อเป็นแกนในการประสานเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานภาครัฐ รวมทั้งการจัดทำข้อมูลต้นทุนโลจิสติกส์รายอุตสาหกรรมเพิ่มเติมจากที่ดำเนินการอยู่แล้ว
4. ด้านบุคลากรโลจิสติกส์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ร่วมมือในการสร้างและพัฒนาบุคลากรด้านโลจิสติกส์ ทั้งในด้านปริมาณและการสร้างความชำนาญเฉพาะด้าน (เช่น Supply Chain Management) โดยการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน ให้ทุนการศึกษา การจัดทำมาตรฐานวิชาชีพ และการพัฒนาองค์ความรู้ด้านโลจิสติกส์
5. ด้านการบริหารจัดการและติดตามผลการดำเนินงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จัดทำรูปแบบและกลไกการผลักดัน ประสานงาน และติดตามผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์และมาตรการต่าง ๆ รวมทั้งการปรับยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และรายงานต่อคณะรัฐมนตรีทุก 3 เดือน
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย รายงานเป้าหมายและยุทธศาสตร์การยกระดับโลจิสติกส์ไทย สรุปได้ดังนี้
1. เป้าหมายการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ จากความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของไทยและศักยภาพการขยายการค้าและการลงทุนตามแนวนโยบายการเปิดเสรีการค้ากับประเทศคู่ค้า การขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน จึงควรผลักดันนโยบายให้ไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาคอินโดจีน ซึ่งจะนำไปสู่การเป็นศูนย์กลางของการค้า การลงทุน ตลอดจนวัฒนธรรม ทั้งนี้ การจะบรรจุเป้าหมายดังกล่าวจะต้องให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้ธุรกิจมีต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ (Cost Efficiency) มีความเร็ว (Responsiveness) และความเชื่อถือได้ (Reliability) ในการจัดส่งสินค้าและบริการไปสู่ผู้บริโภคในประเทศและต่างประเทศ
2. ความจำเป็นในการยกระดับโลจิสติกส์ทั้งระบบ การยกระดับโลจิสติกส์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศจำเป็นต้องดำเนินการทั้งระบบ กล่าวคือ นอกจากระบบการขนส่งแล้ว ยังต้องให้ความสำคัญกับการจัดซื้อ การจัดการสินค้าคงคลัง การกระจายสินค้า และการจัดการข้อมูลและการเงิน ทั้งนี้การจัดการระบบโลจิสติกส์ที่ดีจะทำให้เกิดความได้เปรียบเชิงต้นทุน (Comparative Cost Advantage) การเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ การใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า และ คำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะทำให้เกิดความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน
3. การพัฒนารูปแบบการขนส่งทางเลือก แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนปัญหาการใช้การขนส่งทางบกอย่างไม่เหมาะสม สะท้อนถึงความจำเป็นในการขยาย Mode การขนส่งในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ทางน้ำ ทางราง และทางท่อ ควบคู่ไปกับการจัดการขนส่งต่อเนื่องระหว่างรูปแบบต่าง ๆ (Multimodal Transport) อย่างมีประสิทธิภาพ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 9 พฤศจิกายน 2547--จบ--
-กภ-