ทำเนียบรัฐบาล--22 ธ.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในหลักการ วัตถุประสงค์ และกระบวนการในการพัฒนาและสนับสนุนวิสาหกิจขนาด
กลางและขนาดย่อม และมาตรการเร่งด่วนทางด้านการเงิน โดยเน้นที่วิสาหกิจขนาดย่อม ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม และ
กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. หลักการและวัตถุประสงค์ในการพัฒนาและสนับสนุนด้านการเงินแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในการ
พัฒนาและให้การสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการเงินมีหลักการและวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน
ดังนี้
1.1 การส่งเสริมหรือช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้สินเชื่อใหม่จะต้อง
เป็นการช่วยให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีศักยภาพมีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น เป็นการสร้างระบบเศรษฐกิจโดยรวมให้แข็งแกร่ง
ยิ่งขึ้น มิใช่เป็นการช่วยวิสาหกิจที่มีปัญหาหนี้เสียจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้สถาบันการเงินมีความเสียหายเพิ่มขึ้น จึงต้องสร้างมาตรฐาน
ในการให้สินเชื่อขึ้นมาให้ได้
1.2 ในกระบวนกาารพัฒนาจะต้องเป็นกระบวนการที่สร้างความแข็งแกร่งให้แก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
อย่างถาวร มิใช่เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น
1.3 เนื่องจากรัฐมีข้อจำกัดในแง่ทรัพยากรในการสนับสนุน ดังนั้น กลุ่มเป้าหมายจึงควรมุ่งเน้นให้การสนับสนุนทาง
การเงินแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ไม่ควรขยายกรอบไปสู่วิสาหกิจขนาดใหญ่ ซึ่งได้เปรียบในการกู้จากสถาบันการเงินทั่วไป
อยู่แล้ว
1.4 สร้างระบบและเครือข่ายการให้คำปรึกษาแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เช่น การปรับปรุงประสิทธิภาพ
การผลิตในกาารพัฒนาธุรกิจ การบริหาร การจัดการ การตลาด การพัฒนาบุคลากร เป็นต้น ซึ่งจะเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้แก่
วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอย่างแท้จริง และจะช่วยให้สามารถติดตามการดำเนินงานของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้
อย่างต่อเนื่อง
2. กระบวนการพัฒนาและสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อให้มีความเข้มแข็งอย่างเป็นระบบ ครบวงจร
มีประสิทธิภาพ และยั่งยืนนั้น มีองค์ประกอบ ดังนี้
2.1 การสนับสนุนโดยหน่วยงานของภาครัฐ อย่างเป็นระบบ คือ
1) รัฐจะต้องมีนโยบายที่ชัดเจนที่ให้ความสำคัญแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
2) มีกฎหมายแม่บทเพื่อกำหนดทิศทางในการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้ชัดเจน ตลอดจนเป็น
กรอบในการจัดทำแผนปฏิบัติการต่อไป
3) มีการประสานระบบการทำงานระหว่างหน่วยงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เกี่ยวข้องเพื่อ
ให้เกิดความสอดคล้องและต่อเนื่องในทิศทางเดียวกัน
2.2 การปรับปรุงกลไกด้านการเงินและการให้คำปรึกษาเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาด
ย่อมอย่างเป็นระบบ ดังนี้
1) เพิ่มศักยภาพ ขยายขอบเขตและประเภทการปล่อยสินเชื่อ และสร้างเครือข่ายของสถาบันการเงินเฉพาะ
กิจที่เกี่ยวข้องแต่ละแห่ง เพื่อให้สามารถปล่อยสินเชื่อและติดตามผลการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาในการ
พัฒนาธุรกิจของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอย่างแท้จริง
2) เพิ่มศักยภาพของสถาบันค้ำประกันความเสี่ยง (guaratee corporation) เพื่อให้สามารถค้ำประกันสิน
เชื่อจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจ และสถาบันการเงินเอกชนทั่วไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจมีความจำเป็นในการจัดตั้งองค์กรใน
การประกัน (insurance corporation) ด้วยในระยะต่อไป
3) พัฒนาองค์กรร่วมทุน (Venture Capital) กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
2.3 สร้างกระบวนการกำกับดูแล ตรวจสอบ ติดตาม และรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
อย่างเป็นระบบ เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาสินเชื่อและกำหนดมาตรการระยะยาวในการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
อย่างมีประสิทธิภาพ
การดำเนินการตามกระบวนการพัฒนาและสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมดังกล่าวข้างต้น จำเป็นต้องดำเนิน
การโดยเร่งด่วน และด้วยความรอบคอบรัดกุมเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะเป็นการวางรากฐานที่แท้จริงในการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลาง
และขนาดย่อม ให้แข็งแกร่งและเป็นฐานในการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวมในอนาคต ซึ่งในเรื่องนี้ กระทรวงการคลังจะเร่งดำเนินการ
ให้สมบูรณ์ โดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
3. มาตรการเร่งด่วนทางด้านการเงิน มีดังนี้
3.1 เพิ่มวงเงินปล่อยสินเชื่อและวงเงินค้ำประกันจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจในปี 2542 ให้แก่วิสาหกิจขนาดกลาง
และขนาดย่อมที่ยังไม่ได้เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) แต่ไม่สามารถขอสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ได้ หรือวิสาหกิจขนาดกลาง
และขนาดย่อม ที่ต้องการสินเชื่อเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่เดิม (refinance) ในกรณีที่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่มีศักยภาพชัดเจน
แต่เพิ่งเริ่มเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในระยะ 3-6 เดือน เพราะขาดสภาพคล่อง สถาบันการเงินเฉพาะกิจอาจพิจารณา
ปล่อยสินเชื่อใหม่ให้ โดยการปล่อยสินเชื่อใหม่นี้จะต้องทำหลังจากที่ได้มีการประนอมหนี้กับสถาบันการเงินเดิมเรียบร้อยแล้ว และมีการ
วิเคราะห์ศักยภาพของโครงการอย่างระมัดระวัง
สำหรับวงเงินสินเชื่อและวงเงินค้ำประกันที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจเตรียมไว้เพื่อสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาด
ย่อม มีดังนี้ หน่วย: ล้านบาท
สถาบันการเงิน วงเงินปล่อยกู้โดยตรง วงเงินค้ำประกัน - บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 12,000 - บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม 3,000 - ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร 2,000 - ธนาคารออมสิน 1,000 - ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย 5,000 (ในส่วนที่เป็น direct packing credit) - ธนาคารแห่งประเทศไทย โดยผ่านบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่ง 12,000* ประเทศไทย และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม - บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม 500
รวม 35,000 500
* หมายเหตุ : ตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถซื้อลดตั๋วสัญญาใช้เงินผ่านธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงิน
ทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม แต่ในปัจจุบันสถาบัน
การเงินเอกชนใช้วงเงินในส่วนนี้น้อยมาก
สำหรับวงเงินดังกล่าวข้างต้น สถาบันการเงินเฉพาะกิจแต่ละแห่งจะสามารถปล่อยสินเชื่อได้มากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่
กับฐานะทางการเงินเกณฑ์มาตรฐานทางบัญชี กฎเกณฑ์ในการดูแลความมั่นคงของสถาบันการเงิน และการปรับปรุงสิทธิภาพองค์กรที่แต่
ละสถาบันการเงินต้องปฏิบัติ
การปล่อยกู้โดยตรงในวงเงิน 35,000 ล้านบาท และการค้ำประกันในวงเงิน 500 ล้านบาท นี้ จะสามารถช่วยเหลือ
วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม จำนวนประมาณ 13,687 ราย
3.2 กระทรวงการคลังได้มอบหมายให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ได้แก่ บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารออมสิน จัดทำแผนการปรับปรุงประสิทธิภาพองค์กรเพื่อการสร้างเครือข่ายการให้บริการสินเชื่อ การเพิ่มขีดความสามารถในการวิเคราะห์และติดตามโครงการที่จะให้สินเชื่อ เพื่อให้การปล่อยสินเชื่อเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงต่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้เข้มแข็ง ตลอดจนไม่ก่อให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมาในอนาคต ซึ่งสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐทั้ง 6 แห่งดังกล่าว ก็ได้จัดทำแผนเสนอแล้ว ซึ่งแผนปรับปรุงประสิทธิภาพดังกล่าวจะต้องมีการทบทวนให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้นต่อไปด้วย
3.3 เมื่อสถาบันการเงินเฉพาะกิจได้ปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างเหมาะสมและเพียงพอแล้ว กระทรวงการคลังจะได้พิ
จารณาความจำเป็นในการเพิ่มทุน และความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนสถานะขององค์กรบางแห่ง โดยเฉพาะบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรม
ขนาดย่อม และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมเป็นรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้สามารถสนองต่อนโยบายในการส่งเสริมวิสาหกิจ
ขนาดกลางและขนาดย่อมได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยทั้งนี้ จำเป็นต้องมีการแก้ไขกฎ ระเบียบ ที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินงาน
และประนอมหนี้กับลูกหนี้ให้เหมาะสม
3.4 ในกระบวนการปรับปรุงประสิทธิภาพในการให้บริการสินเชื่อของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐดังกล่าวข้างต้น
กระทรวงการคลังจะได้ขอความร่วมมือจากธนาคารแห่งประเทศไทย ในการพิจรณาทบทวนการให้การสนับสนุนทางด้านการเงินผ่าน
สถาบันการเงินเฉพาะกิจให้เหมาะสมและคล่องตัวยิ่งขึ้น ได้แก่ การปรับปรุงเงื่อนไขในการรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงิน การขยายอายุตั๋ว
สัญญาใช้เงิน และการปรับปรุงขั้นตอนปฎิบัติในการให้ความช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นต้นด้วย
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 22 ธันวาคม 2541--
คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในหลักการ วัตถุประสงค์ และกระบวนการในการพัฒนาและสนับสนุนวิสาหกิจขนาด
กลางและขนาดย่อม และมาตรการเร่งด่วนทางด้านการเงิน โดยเน้นที่วิสาหกิจขนาดย่อม ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม และ
กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. หลักการและวัตถุประสงค์ในการพัฒนาและสนับสนุนด้านการเงินแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในการ
พัฒนาและให้การสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการเงินมีหลักการและวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน
ดังนี้
1.1 การส่งเสริมหรือช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้สินเชื่อใหม่จะต้อง
เป็นการช่วยให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีศักยภาพมีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น เป็นการสร้างระบบเศรษฐกิจโดยรวมให้แข็งแกร่ง
ยิ่งขึ้น มิใช่เป็นการช่วยวิสาหกิจที่มีปัญหาหนี้เสียจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้สถาบันการเงินมีความเสียหายเพิ่มขึ้น จึงต้องสร้างมาตรฐาน
ในการให้สินเชื่อขึ้นมาให้ได้
1.2 ในกระบวนกาารพัฒนาจะต้องเป็นกระบวนการที่สร้างความแข็งแกร่งให้แก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
อย่างถาวร มิใช่เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น
1.3 เนื่องจากรัฐมีข้อจำกัดในแง่ทรัพยากรในการสนับสนุน ดังนั้น กลุ่มเป้าหมายจึงควรมุ่งเน้นให้การสนับสนุนทาง
การเงินแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ไม่ควรขยายกรอบไปสู่วิสาหกิจขนาดใหญ่ ซึ่งได้เปรียบในการกู้จากสถาบันการเงินทั่วไป
อยู่แล้ว
1.4 สร้างระบบและเครือข่ายการให้คำปรึกษาแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เช่น การปรับปรุงประสิทธิภาพ
การผลิตในกาารพัฒนาธุรกิจ การบริหาร การจัดการ การตลาด การพัฒนาบุคลากร เป็นต้น ซึ่งจะเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้แก่
วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอย่างแท้จริง และจะช่วยให้สามารถติดตามการดำเนินงานของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้
อย่างต่อเนื่อง
2. กระบวนการพัฒนาและสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อให้มีความเข้มแข็งอย่างเป็นระบบ ครบวงจร
มีประสิทธิภาพ และยั่งยืนนั้น มีองค์ประกอบ ดังนี้
2.1 การสนับสนุนโดยหน่วยงานของภาครัฐ อย่างเป็นระบบ คือ
1) รัฐจะต้องมีนโยบายที่ชัดเจนที่ให้ความสำคัญแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
2) มีกฎหมายแม่บทเพื่อกำหนดทิศทางในการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้ชัดเจน ตลอดจนเป็น
กรอบในการจัดทำแผนปฏิบัติการต่อไป
3) มีการประสานระบบการทำงานระหว่างหน่วยงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เกี่ยวข้องเพื่อ
ให้เกิดความสอดคล้องและต่อเนื่องในทิศทางเดียวกัน
2.2 การปรับปรุงกลไกด้านการเงินและการให้คำปรึกษาเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาด
ย่อมอย่างเป็นระบบ ดังนี้
1) เพิ่มศักยภาพ ขยายขอบเขตและประเภทการปล่อยสินเชื่อ และสร้างเครือข่ายของสถาบันการเงินเฉพาะ
กิจที่เกี่ยวข้องแต่ละแห่ง เพื่อให้สามารถปล่อยสินเชื่อและติดตามผลการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาในการ
พัฒนาธุรกิจของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอย่างแท้จริง
2) เพิ่มศักยภาพของสถาบันค้ำประกันความเสี่ยง (guaratee corporation) เพื่อให้สามารถค้ำประกันสิน
เชื่อจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจ และสถาบันการเงินเอกชนทั่วไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจมีความจำเป็นในการจัดตั้งองค์กรใน
การประกัน (insurance corporation) ด้วยในระยะต่อไป
3) พัฒนาองค์กรร่วมทุน (Venture Capital) กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
2.3 สร้างกระบวนการกำกับดูแล ตรวจสอบ ติดตาม และรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
อย่างเป็นระบบ เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาสินเชื่อและกำหนดมาตรการระยะยาวในการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
อย่างมีประสิทธิภาพ
การดำเนินการตามกระบวนการพัฒนาและสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมดังกล่าวข้างต้น จำเป็นต้องดำเนิน
การโดยเร่งด่วน และด้วยความรอบคอบรัดกุมเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะเป็นการวางรากฐานที่แท้จริงในการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลาง
และขนาดย่อม ให้แข็งแกร่งและเป็นฐานในการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวมในอนาคต ซึ่งในเรื่องนี้ กระทรวงการคลังจะเร่งดำเนินการ
ให้สมบูรณ์ โดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
3. มาตรการเร่งด่วนทางด้านการเงิน มีดังนี้
3.1 เพิ่มวงเงินปล่อยสินเชื่อและวงเงินค้ำประกันจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจในปี 2542 ให้แก่วิสาหกิจขนาดกลาง
และขนาดย่อมที่ยังไม่ได้เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) แต่ไม่สามารถขอสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ได้ หรือวิสาหกิจขนาดกลาง
และขนาดย่อม ที่ต้องการสินเชื่อเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่เดิม (refinance) ในกรณีที่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่มีศักยภาพชัดเจน
แต่เพิ่งเริ่มเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในระยะ 3-6 เดือน เพราะขาดสภาพคล่อง สถาบันการเงินเฉพาะกิจอาจพิจารณา
ปล่อยสินเชื่อใหม่ให้ โดยการปล่อยสินเชื่อใหม่นี้จะต้องทำหลังจากที่ได้มีการประนอมหนี้กับสถาบันการเงินเดิมเรียบร้อยแล้ว และมีการ
วิเคราะห์ศักยภาพของโครงการอย่างระมัดระวัง
สำหรับวงเงินสินเชื่อและวงเงินค้ำประกันที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจเตรียมไว้เพื่อสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาด
ย่อม มีดังนี้ หน่วย: ล้านบาท
สถาบันการเงิน วงเงินปล่อยกู้โดยตรง วงเงินค้ำประกัน - บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 12,000 - บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม 3,000 - ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร 2,000 - ธนาคารออมสิน 1,000 - ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย 5,000 (ในส่วนที่เป็น direct packing credit) - ธนาคารแห่งประเทศไทย โดยผ่านบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่ง 12,000* ประเทศไทย และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม - บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม 500
รวม 35,000 500
* หมายเหตุ : ตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถซื้อลดตั๋วสัญญาใช้เงินผ่านธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงิน
ทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม แต่ในปัจจุบันสถาบัน
การเงินเอกชนใช้วงเงินในส่วนนี้น้อยมาก
สำหรับวงเงินดังกล่าวข้างต้น สถาบันการเงินเฉพาะกิจแต่ละแห่งจะสามารถปล่อยสินเชื่อได้มากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่
กับฐานะทางการเงินเกณฑ์มาตรฐานทางบัญชี กฎเกณฑ์ในการดูแลความมั่นคงของสถาบันการเงิน และการปรับปรุงสิทธิภาพองค์กรที่แต่
ละสถาบันการเงินต้องปฏิบัติ
การปล่อยกู้โดยตรงในวงเงิน 35,000 ล้านบาท และการค้ำประกันในวงเงิน 500 ล้านบาท นี้ จะสามารถช่วยเหลือ
วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม จำนวนประมาณ 13,687 ราย
3.2 กระทรวงการคลังได้มอบหมายให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ได้แก่ บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารออมสิน จัดทำแผนการปรับปรุงประสิทธิภาพองค์กรเพื่อการสร้างเครือข่ายการให้บริการสินเชื่อ การเพิ่มขีดความสามารถในการวิเคราะห์และติดตามโครงการที่จะให้สินเชื่อ เพื่อให้การปล่อยสินเชื่อเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงต่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้เข้มแข็ง ตลอดจนไม่ก่อให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมาในอนาคต ซึ่งสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐทั้ง 6 แห่งดังกล่าว ก็ได้จัดทำแผนเสนอแล้ว ซึ่งแผนปรับปรุงประสิทธิภาพดังกล่าวจะต้องมีการทบทวนให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้นต่อไปด้วย
3.3 เมื่อสถาบันการเงินเฉพาะกิจได้ปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างเหมาะสมและเพียงพอแล้ว กระทรวงการคลังจะได้พิ
จารณาความจำเป็นในการเพิ่มทุน และความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนสถานะขององค์กรบางแห่ง โดยเฉพาะบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรม
ขนาดย่อม และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมเป็นรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้สามารถสนองต่อนโยบายในการส่งเสริมวิสาหกิจ
ขนาดกลางและขนาดย่อมได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยทั้งนี้ จำเป็นต้องมีการแก้ไขกฎ ระเบียบ ที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินงาน
และประนอมหนี้กับลูกหนี้ให้เหมาะสม
3.4 ในกระบวนการปรับปรุงประสิทธิภาพในการให้บริการสินเชื่อของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐดังกล่าวข้างต้น
กระทรวงการคลังจะได้ขอความร่วมมือจากธนาคารแห่งประเทศไทย ในการพิจรณาทบทวนการให้การสนับสนุนทางด้านการเงินผ่าน
สถาบันการเงินเฉพาะกิจให้เหมาะสมและคล่องตัวยิ่งขึ้น ได้แก่ การปรับปรุงเงื่อนไขในการรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงิน การขยายอายุตั๋ว
สัญญาใช้เงิน และการปรับปรุงขั้นตอนปฎิบัติในการให้ความช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นต้นด้วย
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 22 ธันวาคม 2541--