ทำเนียบรัฐบาล--16 ก.พ.--บิสนิวส์
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจรับทราบตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานผลการแก้ไขปัญหาสภาพ
คล่อง ตามที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งมีประเด็นรายงานในเรื่องข้อเท็จจริง สาเหตุของปัญหา และความคืบหน้าในการแก้ไข โดยมีสาระ
สำคัญ 4 เรื่อง ดังนี้
1. สถานการณ์การเงิน หลังประกาศยกเลิกมาตรการแบ่งแยกตลาดเงินตราต่างประเทศ (30 มกราคม 2541)
1.1 มาตรการแบ่งตลาดเงินตราต่างประเทศ
- เพื่อป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินบาท ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2540 ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ขอความ
ร่วมมือจากธนาคารพาณิชย์ให้ระงับการทำธุรกรรมทางการเงินบางประเภทกับผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศกรณีที่ไม่มีธุรกรรมการค้า และ
การลงทุนในประเทศไทยรองรับ ได้แก่
1) การซื้อขายเงินตราต่างประเทศทันทีและล่วงหน้า
2) การให้กู้ยืมเงินบาท การทำ swap และธุรกรรมอนุพันธ์ต่าง ๆ อันจะมีผลส่งมอบเงินบาทให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่
นอกประเทศ
3) การทำธุรกรรม securities lending
4) การชำระค่าหลักทรัพย์และตราสารการเงินต่าง ๆ ให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศต้องกระทำเป็นเงินตรา
ต่างประเทศเท่านั้น ยกเว้นกรณีที่ตราสารถึงกำหนดไถ่ถอนและมีอายุไม่ต่ำกว่า 6 เดือน
- เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2541 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจมีการปรับตัวดีขึ้นในบางด้านอย่างชัดเจน โดย
เฉพาะการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกันยายน 2540 และทางการมีความคืบหน้าในการดำเนินมาตรการหลายด้านไป
พอสมควร รวมทั้งอัตราแลกเปลี่ยนและสถานการณ์การเงินในภูมิภาคเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น ธนาคารไทยจึงได้ประกาศยกเลิกมาตร
การชั่วคราวดังกล่าวข้างต้น และให้สถาบันการเงินสามารถซื้อขายเงินตราต่างประเทศในตลาดทันทีกับผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศได้ตาม
ปกติ เพื่อเป็นการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศ
- เพื่อป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินในอนาคตการให้กู้เงินบาทในรูปแบบต่าง ๆ หรือการสร้างภาระผูกพัน
ใด ๆ ที่มีผลให้ต้องจ่ายเงินตราต่างประเทศในอนาคตแก่ผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศนั้น ทางการอนุญาตให้สถาบันการเงินทำได้ภายในวง
เงินคงค้างสูงสุดไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อลูกค้าหนึ่งราย ยกเว้น ธุรกรรมที่เกี่ยวเนื่องจากธุรกิจการค้าหรือการลงทุนในประเทศไทย
ให้สถาบันการเงินดำเนินการได้ตามปกติโดยไม่จำกัดจำนวน แต่ต้องส่งรายงาน และเก็บหลักฐานให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเรียก
ตรวจสอบได้ตลอดเวลา
1.2 ความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน
- ก่อนการยกเลิกมาตรการ ในช่วงครึ่งหลังของเดือนมกราคม 2541 ค่าเงินบาทเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น
โดยเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 53 - 55 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ภายหลังจากที่ผันผวนมากในช่วงต้นปี
- หลังยกเลิกมาตรการในช่วง 2 วันทำการแรก ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งขึ้นอย่างรวดเร็ว (ประมาณร้อยละ
6-7 ต่อวัน) จาก 54.92 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในวันที่ 30 มกราคม เป็น 48.78 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์
และอัตราแลกเปลี่ยนในตลาด onshore และ offshore เริ่มปรับตัวเข้าสู่ระดับเดียวกัน โดยเป็นผลจาก
1) สถาบันการเงินในตลาด offshore ขายดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อปิดฐานะเงินตราต่างประเทศ (long
dollar position) และผู้ส่งออกบางส่วนเริ่มทยอยขายดอลลาร์ล่วงหน้า เพื่อลดการขาดทุนจากสัญญาซื้อดอลลาร์ล่วงหน้าที่ได้ทำ
ไว้เดิม ณ ระดับค่าเงินบาทที่อ่อนกว่าปัจจุบัน
2) นักลงทุนเริ่มมองว่าเศรษฐกิจไทยแตกต่างจากอินโดนีเซีย และมีแนวโน้มจะฟื้นตัวเร็วกว่าเป็นผลจากตัว
เลขเศรษฐกิจที่ทางการไทยประกาศเมื่อปลายเดือนมกราคม โดยอัตราเงินเฟ้อต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลและ
ปริมาณเงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นจากเดิม
3) ข่าวว่า IMF อาจยืดหยุ่นเงื่อนไขตามโครงการเงินกู้ให้แก่ไทยโดยผ่อนผันให้งบประมาณประจำปี 2541
ขาดดุลได้ร้อยละ 1 - 2 ของ GDP จากเดิมที่กำหนดให้เกินดุลร้อยละ 1 ของ GDP
4) นักลงทุนต่างประเทศนำเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ภูมิภาคเอเชียอย่างต่อเนื่อง และค่าเงินใน
ภูมิภาคปรับตัวดีขึ้น
5) ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนลง ภายหลังจากประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ กล่าวว่าปัญหาใน
ภูมิภาคเอเชียช่วยลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าจะไม่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ขึ้นซึ่งในการ
ประชุมกรรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ เมื่อ 3 - 4 กุมภาพันธ์ 2541 ได้มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้
- ในช่วงวันที่ 4 - 9 กุมภาพันธ์ ค่าเงินบาทค่อนข้างมีเสถียรภาพ เคลื่อนไหวอยู่ในช่วงแคบระหว่าง
47 - 49 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเนื่องจากตลาดยังคงรอผลการเจรจาระหว่างทางการไทย และ IMF แม้ว่าจะมี
ปัจจัยลบในบางช่วง ได้แก่
1) ข่าวลือว่าบริษัทเอกชนของไทยผิดสัญญาชำระคืนหนี้ต่างประเทศประมาณ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ
ข่าวลือเกี่ยวกับสุขภาพบุคคลสำคัญของไทย
2) ความไม่แน่นอนในสถานการณ์อ่าวเปอร์เซีย ยังคงกดดันให้มีความต้องการถือเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่อง
จากเป็นสกุลเงินปลอดภัย
- สำหรับในช่วงวันที่ 10 - 11 กุมภาพันธ์ (ตลาดไทยปิดในวันที่ 11 กุมภาพันธ์เนื่องในวันมาฆะบูชา)
เงินบาทมีค่าแข็งขึ้นมากเช่นเดียวกับค่าเงินในภูมิภาค โดยมีปัจจัยสำคัญจากข่าวที่อินโดนีเซียจะใช้ระบบ Currency Board มา
กำหนดอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินรูเปียแข็งขึ้นมากทันที
1.3 ภาวะสภาพคล่องในตลาดเงิน
- ภาวะตลาดเงินตราต่างประเทศ และค่าเงินบาทที่ปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้สภาพคล่องเงินบาทในตลาด
เงินมีความคล่องตัวขึ้นตามไปด้วยตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม จนถึงปัจจุบัน โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมระหว่างธนาคาร และอัตรา
ดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตร (R/P) โน้มลดลงโดยตลอด และธนาคารแห่งประเทศไทยไม่จำเป็นต้องเข้าไปปล่อยเงินในตลาด R/P
มากเหมือนในช่วงก่อนหน้า
- ในช่วงต้นสัปดาห์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ สภาพคล่องยังคงมีแนวโน้มคล่องตัว โดยธนาคารพาณิชย์
ขนาดใหญ่และสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศเข้ามาลงทุนในตลาด R/P มากขึ้น เนื่องจากได้รับสภาพคล่องเงินบาทจากธุรกรรม
เงินตราต่างประเทศ แต่สภาพคล่องตึงตัวขึ้นบ้างในช่วงปลายสัปดาห์ เนื่องจากใกล้ถึงวันสิ้นปักษ์การดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง ของ
ธนาคารพาณิชย์
2. ปัญหาภาคเอกชนขาดสภาพคล่องในการประกอบธุรกิจ
2.1 ข้อเท็จจริง
- สินเชื่อสถาบันการเงินชะลอตัวลงมากในปี 2540
สินเชื่อธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุน
อัตราเปลี่ยนแปลงเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน 2539 2540
(%) ธ.ค. มี.ค. มิ.ย. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค.
สินเชื่อ ธพ. และ BIBF 14.2 12.9 10.4 9.9 9.7 8.5 8.0
สินเชื่อบริษัทเงินทุนทั้งระบบ 17.8 9.4 0.3 -6.0. -6.6 -8.0 n.a.
ครึ่งหลังของปี 2540 ปรับผลของการตีค่าอัตราแลกเปลี่ยนของสินเชื่อ BIBF แล้ว
- ภาคธุรกิจไม่สามารถหาแหล่งเงินทุนอื่นมาทดแทนสินเชื่อสถาบันการเงินได้ เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นและ
ตลาดตราสารหนี้ในประเทศซบเซามาก และความสามารถในการกู้ยืมจากต่างประเทศลดลงจากการที่อันดับความน่าเชื่อถือตราสาร
หนี้ต่างประเทศของไทยลดลง และปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนทำให้ภาคธุรกิจเอกชนประสบปัญหาขาดสภาพคล่องรุนแรงยิ่งขึ้น
2.2 สาเหตุที่ทำให้สถาบันการเงินจำกัดสินเชื่อ
จากการวิเคราะห์ข้อมูลการเงิน ภาวะตลาด และจากการหารือกับสมาคมธนาคารไทย (เมื่อ 4 กุมภาพันธ์
2541) ประเมินได้ว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้สถาบันการเงินจำกัดการปล่อยสินเชื่อมี 2 ด้านคือ ด้านลูกค้าผู้กู้ และด้านสถาบันการเงิน
ปัญหาด้านลูกค้าผู้กู้ ความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหา
1. ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทำให้ธุรกิจมีความเสี่ยงในการดำเนิน 1. ดำเนินนโยบายอย่างระมัดระวัง เพื่อให้คค่าเงินบาท
ธุรกิจมากขึ้น หากคาดคะเนผิดพลาด มีเสถียรภาพ และมิให้เงินเฟ้อสูงมากนัก
2. หลักประกันมีมูลค่าเสื่อมลง หรือลูกค้ามีหลักประกันไม่ - เร่งให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
เพียงพอ (บสย.)และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า
(ธสน.) ให้มีบทบาทมากขึ้น
- รอการเพิ่มทุนให้ บสย. และ ธสน.
3. ลูกค้ามีคุณภาพลดลง โดยลูกค้ารายใหญ่ส่วนใหญ่กู้ยืมจาก - ธนาคารพาณิชย์ให้ลูกค้าเทศธนกิจแปลงเป็นหนี้เงินบาท
ต่างประเทศ หรือกู้จาก BIBF เป็นเงินตราต่างประเทศ ทำให้
ประสบปัญหาการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน และบางราย
ประสบปัญหาหนี้ต่างประเทศไม่ได้รับการต่ออายุ
4. ลูกค้าสินเชื่อที่เป็นเงินตราต่างประเทศเมื่อแปลงเป็นเงินบาท
ในขณะที่ค่าเงินบาทอ่อนลง ทำให้ติดเงื่อนไขข้อจำกัดสินเชื่อ
ต่อรายเกินกำหนด จึงต้องเรียกหนี้คืน
5. ลูกค้ามีหนี้ที่มีปัญหาค้างชำระกับสถาบันการเงินรายอื่นอยู่ - รอการแก้ไขพระราชบัญญัติล้มละลาย
ด้วย ธนาคารรายใหม่จึงไม่กล้าให้สินเชื่อ
ปัญหาด้านสถาบันการเงิน ความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหา
1. สถาบันการเงินจำเป็นต้องเสริมสร้างความแข็งแกร่งและ - ขณะนี้สถาบันการเงินได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ
มั่นคง โดยการเพิ่มทุน และกันสำรองเพิ่มขึ้นตามมาตรฐาน กำหนดแผนการเพิ่มทุนแล้ว และกำลังทยอยเพิ่มทุน
ใหม่ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของสากล และหาผู้ร่วมทุนต่างประเทศ
2. สถาบันการเงินต้องรักษาสภาพคล่องของตนเอง พร้อมทั้ง - สถาบันการเงินพยายามรักษากระแสเงินสดด้วยการ
ดูแลลูกค้าเดิมมิให้ด้อยคุณภาพ ซึ่งจะเป็นภาระหนักสำหรับ ลงทุนสั้น ๆ ในตตลาดเงิน แทนการให้สินเชื่อใหม่
สถาบันการเงินในการกันสำรองและตัดหนี้สูญ จนกว่าจะสามารถเพิ่มทุนได้ จึงจะทำให้สถาบันการเงิน
มีสภาพคล่องถาวรที่เพียงพอ
ปัญหาด้านสถาบันการเงิน ความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหา
3. สถาบันการเงินต้องกันสภาพคล่องไว้สำหรับชำระคืนหนี้ - สร้างความเข้าใจ และให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่
ต่างประเทศ เนื่องจากเกรงปัญหาความผันผวนอัตราแลก สถาบันการเงินเจ้าหนี้ และบรีษัทจัดอันดับฯ
เปลี่ยนและปัญหาการต่ออายุหนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการถูก
ลดอันดับความน่าเชื่อถือ และ/หรือสถาบันการเงินเจ้าหนี้
ประสบปัญหาทางการเงินเช่นกัน รวมทั้งเกรงว่าตนเองอาจ
ถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลงถ้าไม่ลดระดับการให้กู้ยืมแก่
ประเทศไทยและประเทศอื่นในภูมิภาคนี้
4. สถาบันการเงินยังขาดความพร้อมในการปรับเปลี่ยนวิธีการ - ขณะนี้สถาบันการเงินกำลังเร่งฝึกอบรมอบวิเคราะห์
ประเมินและวิเคราะห์สินเชื่อจาก asset base ไปสู่ cash สินเชื่อใหม่ให้แก่พนักงานสินเชื่อ
flow base จึงต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ ไม่กล้าปล่อย
สินเชื่อใหม่
2.3 อัตราดอกเบี้ยตลาด R/P สูงเร่งให้สถาบันการเงินแข่งขันระดมเงินฝากมากกว่าชะลอการปล่อยสินเชื่อ
- อัตราดอกเบี้ยตลาด R/P ที่อยู่ในระดับสูงกว่าร้อยละ 20 ไม่ใช่สาเหตุสำคัญที่ทำให้สถาบันการเงินไม่ยอม
ปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากเป็นอัตราตามกลไกตลาด (market - clearing) แต่การที่สถาบันการเงินนำเงินมาลงทุนในตลาด R/P
มากขึ้นนั้น เป็นการบริหารสภาพคล่องที่ต้องดำรงไว้ในระดับสูง เนื่องจากเกรงถูกเรียกหนี้ต่างประเทศคืน และลูกค้ามาถอนนอกจาก
นี้ อัตราดอกเบี้ยตลาด R/P ในปัจจุบันมีแนวโน้มลดลงแล้ว ตามภาวะตลาดเงินตราต่างประเทศ และค่าเงินบาทที่ปรับตัวดีขึ้น
- การที่อัตราดอกเบี้ย R/P สูงเป็นภาระต่อสถาบันการเงินที่ต้องการสภาพคล่อง จึงหันไปเร่งระดมเงินฝากแทน
การพึ่งเงินกู้ในตลาด R/P
3. มาตรการการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออก
3.1 ข้อเท็จจริง
ผู้ส่งออกได้รับสินเชื่อจากแหล่งต่าง ๆ ดังนี้
ยอดคงค้างสินเชื่อเพื่อการส่งออก
หน่วย : พันล้านบาท 2540 2541
(ยกเว้นระบุ) มิ.ย. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ม.ค.
1. ธนาคารพาณิชย์ 1/ 176.6 194.8 198.5 n.a. n.a. n.a.
2. ธสน.
2.1 ปล่อยร่วมกับ ธพ. และได้รับ 23.0 22.9 3.7 20.7 21.4 22.9
Refinancing จากธนาคาร
แห่งประเทศไทย 2/
2.2 จากวงเงินกู้ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 3/ - - 1.2 3.6 9.1 15.5
(คิดเป็นเงินล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) (24.73) (75.39) (192.92) (276.58)
2.3 จากแหล่งเงินอื่นที่ให้กู้เป็นบาทและ 10.9 15.9 19.5 20.4 4.6 n.a.
ดอลลาร์สหรัฐฯ
1/ไม่รวมเม็ดเงินที่ได้รับ refinancing จาก ธสน.
2/ เฉพาะส่วนที่เป็นเม็ดเงินจาก ธปท.
3/ อัตราแลกเปลี่ยนที่ ธสน. ใช้ลงบัญชีในปี 2540 คือ 47.30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ
หมายเหตุ : สินเชื่อส่งออกส่วนใหญ่อายุไม่เกิน 180 วัน
3.2 ปัญหา
- ผู้ส่งออกร้องเรียนว่าธนาคารพาณิชย์จำกัดวงเงิน ทำให้ไม่ได้รับสินเชื่อเพียงพอในการซื้อวัตถุดิบเพื่อผลิต และส่งออก
เป็นอุปสรรคต่อการเร่งขยายการส่งออก
- กระทรวงพาณิชย์ (ผ่านศูนย์ประสานสินเชื่อเพื่อการส่งออก) ได้จัดส่งรายชื่อผู้ส่งออกที่มาขอคำปรึกษาจากศูนย์ฯ ซึ่ง
มีผู้ที่อยู่ในข่ายที่จะได้รับพิจารณาอนุมัติเงินกู้จำนวน 75 ราย ให้สมาคมธนาคารไทยดำเนินการต่อ และทราบเบื้องต้นว่ามีผู้ได้รับ
สินเชื่อเพียง 2 รายเท่านั้น จึงขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยสอบถามความคืบหน้าจากธนาคารพาณิชย์
- ธนาคารพาณิชย์มีความเห็นว่าน้ำหนักความเสี่ยงตามมาตรฐานการดำรงเงินกองทุนของ BIS สำหรับสินเชื่อส่งออกมี
อัตราสูงเกินไป ไม่จูงใจให้ปล่อยสินเชื่อ
3.3 ความคืบหน้ามาตรการเงินเพื่อส่งเสริมการส่งออก
3.3.1 มาตรการที่ดำเนินการแล้ว
- ธนาคารแห่งประเทศไทยเพิ่มสัดส่วนวงเงินสมทบกับเงินของสถาบันการเงินจากเดิม 50:50 เป็น 60:40
และให้เพิ่มอัตราดอกเบี้ยปลายทางที่คิดจากผู้ส่งออกจากร้อยละ 12 เป็นร้อยละ 13 ต่อปี เริ่มตั้งแต่ 20 มกราคม 2541 ซึ่งจะเพิ่ม
แรงจูงใจให้สถาบันการเงินสนใจปล่อยเงินกู้ให้ผู้ส่งออกมากขึ้น
- ธนาคารแห่งประเทศไทยได้สอบถามความคืบหน้าจากธนาคารพาณิชย์เกี่ยวกับสินเชื่อตามโครงการแก้ไขปัญหา
สภาพคล่องของศูนย์ประสานสินเชื่อเพื่อการส่งออก ปรากฏว่าถึงปัจจุบัน (12 กุมภาพันธ์ 2541) ธนาคารพาณิชย์ได้อนุมัติสินเชื่อตาม
โครงการดังกล่าวแล้ว 13 ราย อนุมัติปรับวงเงินเดิม 6 รายอยู่ระหว่างการพิจารณา 37 ราย ไม่อยู่ในข่ายได้รับวงเงิน 30 ราย
และไม่มาติดต่ออีก 75 ราย
3.3.2 มาตรการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ
- คณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยอนุมัติเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2541 ให้ ธสน. สามารถใช้เงินกู้จาก
ธนาคารแห่งประเทศไทยให้สินเชื่อโดยตรงแก่ผู้ส่งออก และผู้ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมเพื่อส่งออกได้ (โดยเป็นเงินสมทบจากธนาคาร
แห่งประเทศไทยร้อยละ 60) รวมวงเงิน 5,000 ล้านบาท (เป็นส่วนหนึ่งของวงเงินรวม 33,000 ล้านบาท ที่ ธสน. ให้กู้ผ่าน
ธนาคารพาณิชย์) ซึ่งความคืบหน้าขณะนี้อยู่ระหว่างการออกระเบียบปฏิบัติ คาดว่าจะดำเนินการได้ประมาณเดือนมีนาคม 2541
- ธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังดำเนินการปรับปรุงน้ำหนักความเสี่ยง สำหรับสินเชื่อส่งออกประเภทที่มี L/C
เป็นเอกสารประกอบ (คิดเป็นประมาณร้อยละ 30 ของสินเชื่อส่งออกทั้งหมด) ให้มีน้ำหนักความเสี่ยงร้อยละ 20ทั้งในช่วงก่อน และ
หลังการส่งสินค้าลงเรือเช่นเดียวกับที่ประเทศอื่นใช้อยู่ (แต่เดิมให้เฉพาะหลังส่งสินค้าลงเรือ) และสำหรับสินเชื่อส่งออกที่ไม่มี L/C
แต่มีเอกสารอื่นที่กำหนดเงื่อนไขการชำระเงิน โดยมีธนาคารพาณิชย์ในต่างประเทศรับภาระชำระเงินค่าสินค้าแทนผู้ซื้อ ซึ่งจัดได้ว่ามี
ความเสี่ยงต่ำ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะพิจารณาให้มีน้ำหนักความเสี่ยงร้อยละ 20 ซึ่งความคืบหน้าในเรื่องนี้ธนาคารแห่งประเทศ
ไทยกำลังเสนอขอความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังเพื่อดำเนินการออกประกาศต่อไป
อนึ่ง สำหรับสินเชื่อเพื่อการส่งออกประเภท D/A และ D/P นั้น หากได้รับการค้ำประกันจาก ธสน. แล้ว จะมี
น้ำหนักความเสี่ยงร้อยละ 20 และหากรัฐบาลค้ำประกันอีกชั้นหนึ่ง ความเสี่ยงจะลดลงเป็นศูนย์
- ธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังพิจารณาข้อเสนอของกิจการวิเทศธนกิจ ที่ให้กิจการวิเทศธนกิจสามารถให้กู้ยืม
แก่ผู้ส่งออกขนาดกลาง และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกได้ เนื่องจากปัจจุบันมีข้อกำหนดการกู้ยืมขั้นต่ำ 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
3.3.3 มาตรการอื่นเพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องทางการเงินแก่ภาคการส่งออกและการค้า
1) การค้ำประกันผู้ส่งออก และผู้ประกอบการค้าของไทย
- กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมระหว่างประเทศของญี่ปุ่น(Ministry of International Trade
and Industry หรือ MITI) ให้ความช่วยเหลือเพื่อเพิ่มสภาพคล่องแก่ผู้ส่งออก และผู้ประกอบการไทยในรูปของการค้ำประกันการ
ค้าและการลงทุนและการชำระค่าสินค้าล่วงหน้าในวงเงิน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเวลา 2 ปี ตั้งแต่ 9 ตุลาคม 2540
ประกอบด้วย
ก. การประกันการจ่ายเงินค่าสินค้านำเข้าล่วงหน้า (Prepayment Import Insurance) โดย MITI
จะค้ำประกันการจ่ายเงินล่วงหน้าของผู้นำเข้าญี่ปุ่นซึ่งจ่ายแก่ผู้ส่งออกไทยหากผู้ส่งออกไทยไม่สามารถส่งมอบสินค้าตามสัญญา
ข. การค้ำประกันเงินกู้ที่ไม่มีข้อผูกมัด (Overseas United Loan Insurance) โดย MITI จะประกัน
การได้รับชำระเงินคืน สำหรับเงินที่สถาบันการเงิน และธุรกิจญี่ปุ่นให้กู้แก่ธุรกิจไทย (ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ การปรับโครงสร้าง
อุตสาหกรรมหรือบริษัทส่งออกของญี่ปุ่นในไทย) เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนและเงินลงทุน
มาตรการดังกล่าวจะช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่บริษัทและสถาบันการเงินในญี่ปุ่นที่มีต่อบริษัทในประเทศไทย
ทั้งนี้ บริษัทในญี่ปุ่นจะต้องเป็นผู้ยื่นขอรับการค้ำประกันจาก MITI/EID ในญี่ปุ่น และเจ้าหน้าที่ประกันของญี่ปุ่นจะประเมินฐานะความ
น่าเชื่อถือ (credit - worthiness) ของลูกค้าไทย และพิจารณาอนุมัติการค้ำประกัน
2) โครงการประกันการส่งออกสินค้าเกษตรสหรัฐอเมริกาวงเงิน 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ระยะเวลาประกัน 3 ปี
ธนาคารไทยรวม 7 แห่งที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการนี้ สามารถนำสินเชื่อที่ค้ำประกันโดยบรรษัทสินเชื่อสินค้า
โภคภัณฑ์สหรัฐฯ ไปขอกู้เงินจากธนาคารสหรัฐฯ ได้เป็นเวลา 3 ปี ณ อัตราดอกเบี้ย LIBOR โดยที่ผู้นำเข้าไทยมีแนวโน้มชำระคืน
หนี้ธนาคารในระยะเวลาที่สั้นกว่า 3 ปี(ส่วนใหญ่ 6 เดือน - 1 ปี) ทำให้ธนาคารไทยสามารถใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเวลา
ที่เหลือได้
โครงการนี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อบริษัทไทยที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เช่น ถั่ว
เหลืองเพื่ออุตสาหกรรมเลี้ยงไก่ และฝ้ายเพื่อผลิตสิ่งทอ เป็นต้น
3) การกู้ยืมจากต่างประเทศเพื่อสนับสนุนผู้ส่งออก
- ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าของญี่ปุ่น (The Export - Import Bank of Japan) กำลังพิจารณาให้
เงินกู้แก่ ธสน. และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อปล่อยกู้โดยตรงแก่ผู้ส่งออก และผู้ผลิตเพื่อการส่งออก ในวง
เงินประมาณ 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยคาดว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงภายในไตรมาสแรกปีนี้
- ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย(ADB)และธนาคารพาณิชย์ชั้นนำทั่วโลกกำลังพิจารณาจัดหาเงินกู้ co-financing
เพื่อช่วยเหลือสภาพคล่องแก่ภาคการส่งออกจำนวน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะพิจารณาเงินกู้ได้ในไตรมาสแรกของปีนี้
4. สรุปความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาสภาพคล่อง
1) ทางการกำลังเร่งรัดการเพิ่มทุนของสถาบันการเงินให้รวดเร็วที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาค่อนข้างมีอุปสรรค ทั้งการเพิ่ม
ทุนภายในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้ชี้แจงให้สมาคมธนาคารไทยทราบแล้วว่าทางการพร้อมที่จะเข้าไป
ช่วยเหลือ โดยจะช่วยเจรจาหาแหล่งเงินให้ หรือเจรจาเงื่อนไขกับนักลงทุนต่างประเทศ
อนึ่งจนถึง 10 กุมภาพันธ์ 2541 ทางการโดยกองทุนฟื้นฟูฯ ได้เข้าไปมีบทบาทในการเพิ่มทุนให้ธนาคารไทยรวม 5
แห่ง โดยแปลงหนี้เป็นทุนของธนาคารศรีนครไปแล้ว 25.0 พันล้านบาท และเพิ่มทุนให้กับธนาคารกรุงไทย 20.0 พันล้านบาท (โดย
3.7 พันล้านบาทเป็นเม็ดเงินจากผู้ถือหุ้นรายย่อย)และจะได้แปลงหนี้เป็นทุนเพิ่มอีก 3 ธนาคารคือ กรุงเทพฯ พาณิชย์การ มหานคร
และนครหลวงไทย เป็นจำนวน 6.2 หมื่นล้านบาทภายในเดือนกุมภาพันธ์
2) การปรับลดอัตราดอกเบี้ยตลาด R/P ลงจะไม่ช่วยกระตุ้นให้สถาบันการเงิน ปล่อยสินเชื่อได้เพิ่มขึ้นมากนัก แต่
อาจช่วยลดการแข่งขันระดมเงินฝากระหว่างสถาบันการเงินได้บ้าง ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยจะพยายามปรับลดอัตราดอกเบี้ย
R/P ลงแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนค่าเงินบาทมากนัก (ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับ IMF ในเรื่องการ
กำหนดนโยบายอัตราดอกเบี้ย)
สำหรับประเด็นที่เสนอให้มีการเพิ่มส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยให้กู้และขอกู้ในตลาด R/P นั้น อาจเกิดผล
เสียมากกว่าผลดี เพราะอาจทำให้อุปทานของเงินในตลาด R/P ลดลง จะยิ่งทำให้อัตราดอกเบี้ยเสนอขอกู้สูงยิ่งขึ้นกว่าในปัจจุบัน
และในที่สุดธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องเข้าไปปล่อยเงินให้มากขึ้นกว่าเดิม ทั้งนี้ธนาคารได้หารือกับผู้บริหารระดับสูงของธนาคาร
พาณิชย์ไทยแล้ว เห็นว่าจะมีปัญหาในทางปฏิบัติ และอัตราดอกเบี้ยไม่สะท้อนกลไกตลาด
3) ทางการได้ชี้แจงให้ผู้บริหารสถาบันการเงิน มิให้แข่งขันระดมเงินฝาก ด้วยการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยมากเกินไป
เพราะจะเป็นภาระแก่ลูกค้าสินเชื่อ รวมทั้งขอให้สถาบันการเงินพิจารณาความน่าเชื่อถือของลูกค้าแต่ละรายอย่างตรงไปตรงมาโดย
ให้คำนึงถึงความสามารถ ในการสร้างรายได้ของลูกค้าเป็นสำคัญ (cash flow) ไม่ใช่พิจารณาตามมูลค่าปัจจุบันของหลักประกัน
(collateral value) แต่เพียงอย่างเดียว และทางการได้จัดหาแหล่งเงินและสภาพคล่องให้กับสถาบันการเงินเพื่อปล่อยสินเชื่อ
อยู่แล้ว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2541--
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจรับทราบตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานผลการแก้ไขปัญหาสภาพ
คล่อง ตามที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งมีประเด็นรายงานในเรื่องข้อเท็จจริง สาเหตุของปัญหา และความคืบหน้าในการแก้ไข โดยมีสาระ
สำคัญ 4 เรื่อง ดังนี้
1. สถานการณ์การเงิน หลังประกาศยกเลิกมาตรการแบ่งแยกตลาดเงินตราต่างประเทศ (30 มกราคม 2541)
1.1 มาตรการแบ่งตลาดเงินตราต่างประเทศ
- เพื่อป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินบาท ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2540 ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ขอความ
ร่วมมือจากธนาคารพาณิชย์ให้ระงับการทำธุรกรรมทางการเงินบางประเภทกับผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศกรณีที่ไม่มีธุรกรรมการค้า และ
การลงทุนในประเทศไทยรองรับ ได้แก่
1) การซื้อขายเงินตราต่างประเทศทันทีและล่วงหน้า
2) การให้กู้ยืมเงินบาท การทำ swap และธุรกรรมอนุพันธ์ต่าง ๆ อันจะมีผลส่งมอบเงินบาทให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่
นอกประเทศ
3) การทำธุรกรรม securities lending
4) การชำระค่าหลักทรัพย์และตราสารการเงินต่าง ๆ ให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศต้องกระทำเป็นเงินตรา
ต่างประเทศเท่านั้น ยกเว้นกรณีที่ตราสารถึงกำหนดไถ่ถอนและมีอายุไม่ต่ำกว่า 6 เดือน
- เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2541 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจมีการปรับตัวดีขึ้นในบางด้านอย่างชัดเจน โดย
เฉพาะการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกันยายน 2540 และทางการมีความคืบหน้าในการดำเนินมาตรการหลายด้านไป
พอสมควร รวมทั้งอัตราแลกเปลี่ยนและสถานการณ์การเงินในภูมิภาคเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น ธนาคารไทยจึงได้ประกาศยกเลิกมาตร
การชั่วคราวดังกล่าวข้างต้น และให้สถาบันการเงินสามารถซื้อขายเงินตราต่างประเทศในตลาดทันทีกับผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศได้ตาม
ปกติ เพื่อเป็นการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศ
- เพื่อป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินในอนาคตการให้กู้เงินบาทในรูปแบบต่าง ๆ หรือการสร้างภาระผูกพัน
ใด ๆ ที่มีผลให้ต้องจ่ายเงินตราต่างประเทศในอนาคตแก่ผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศนั้น ทางการอนุญาตให้สถาบันการเงินทำได้ภายในวง
เงินคงค้างสูงสุดไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อลูกค้าหนึ่งราย ยกเว้น ธุรกรรมที่เกี่ยวเนื่องจากธุรกิจการค้าหรือการลงทุนในประเทศไทย
ให้สถาบันการเงินดำเนินการได้ตามปกติโดยไม่จำกัดจำนวน แต่ต้องส่งรายงาน และเก็บหลักฐานให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเรียก
ตรวจสอบได้ตลอดเวลา
1.2 ความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน
- ก่อนการยกเลิกมาตรการ ในช่วงครึ่งหลังของเดือนมกราคม 2541 ค่าเงินบาทเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น
โดยเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 53 - 55 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ภายหลังจากที่ผันผวนมากในช่วงต้นปี
- หลังยกเลิกมาตรการในช่วง 2 วันทำการแรก ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งขึ้นอย่างรวดเร็ว (ประมาณร้อยละ
6-7 ต่อวัน) จาก 54.92 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในวันที่ 30 มกราคม เป็น 48.78 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์
และอัตราแลกเปลี่ยนในตลาด onshore และ offshore เริ่มปรับตัวเข้าสู่ระดับเดียวกัน โดยเป็นผลจาก
1) สถาบันการเงินในตลาด offshore ขายดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อปิดฐานะเงินตราต่างประเทศ (long
dollar position) และผู้ส่งออกบางส่วนเริ่มทยอยขายดอลลาร์ล่วงหน้า เพื่อลดการขาดทุนจากสัญญาซื้อดอลลาร์ล่วงหน้าที่ได้ทำ
ไว้เดิม ณ ระดับค่าเงินบาทที่อ่อนกว่าปัจจุบัน
2) นักลงทุนเริ่มมองว่าเศรษฐกิจไทยแตกต่างจากอินโดนีเซีย และมีแนวโน้มจะฟื้นตัวเร็วกว่าเป็นผลจากตัว
เลขเศรษฐกิจที่ทางการไทยประกาศเมื่อปลายเดือนมกราคม โดยอัตราเงินเฟ้อต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลและ
ปริมาณเงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นจากเดิม
3) ข่าวว่า IMF อาจยืดหยุ่นเงื่อนไขตามโครงการเงินกู้ให้แก่ไทยโดยผ่อนผันให้งบประมาณประจำปี 2541
ขาดดุลได้ร้อยละ 1 - 2 ของ GDP จากเดิมที่กำหนดให้เกินดุลร้อยละ 1 ของ GDP
4) นักลงทุนต่างประเทศนำเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ภูมิภาคเอเชียอย่างต่อเนื่อง และค่าเงินใน
ภูมิภาคปรับตัวดีขึ้น
5) ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนลง ภายหลังจากประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ กล่าวว่าปัญหาใน
ภูมิภาคเอเชียช่วยลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าจะไม่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ขึ้นซึ่งในการ
ประชุมกรรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ เมื่อ 3 - 4 กุมภาพันธ์ 2541 ได้มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้
- ในช่วงวันที่ 4 - 9 กุมภาพันธ์ ค่าเงินบาทค่อนข้างมีเสถียรภาพ เคลื่อนไหวอยู่ในช่วงแคบระหว่าง
47 - 49 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเนื่องจากตลาดยังคงรอผลการเจรจาระหว่างทางการไทย และ IMF แม้ว่าจะมี
ปัจจัยลบในบางช่วง ได้แก่
1) ข่าวลือว่าบริษัทเอกชนของไทยผิดสัญญาชำระคืนหนี้ต่างประเทศประมาณ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ
ข่าวลือเกี่ยวกับสุขภาพบุคคลสำคัญของไทย
2) ความไม่แน่นอนในสถานการณ์อ่าวเปอร์เซีย ยังคงกดดันให้มีความต้องการถือเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่อง
จากเป็นสกุลเงินปลอดภัย
- สำหรับในช่วงวันที่ 10 - 11 กุมภาพันธ์ (ตลาดไทยปิดในวันที่ 11 กุมภาพันธ์เนื่องในวันมาฆะบูชา)
เงินบาทมีค่าแข็งขึ้นมากเช่นเดียวกับค่าเงินในภูมิภาค โดยมีปัจจัยสำคัญจากข่าวที่อินโดนีเซียจะใช้ระบบ Currency Board มา
กำหนดอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินรูเปียแข็งขึ้นมากทันที
1.3 ภาวะสภาพคล่องในตลาดเงิน
- ภาวะตลาดเงินตราต่างประเทศ และค่าเงินบาทที่ปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้สภาพคล่องเงินบาทในตลาด
เงินมีความคล่องตัวขึ้นตามไปด้วยตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม จนถึงปัจจุบัน โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมระหว่างธนาคาร และอัตรา
ดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตร (R/P) โน้มลดลงโดยตลอด และธนาคารแห่งประเทศไทยไม่จำเป็นต้องเข้าไปปล่อยเงินในตลาด R/P
มากเหมือนในช่วงก่อนหน้า
- ในช่วงต้นสัปดาห์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ สภาพคล่องยังคงมีแนวโน้มคล่องตัว โดยธนาคารพาณิชย์
ขนาดใหญ่และสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศเข้ามาลงทุนในตลาด R/P มากขึ้น เนื่องจากได้รับสภาพคล่องเงินบาทจากธุรกรรม
เงินตราต่างประเทศ แต่สภาพคล่องตึงตัวขึ้นบ้างในช่วงปลายสัปดาห์ เนื่องจากใกล้ถึงวันสิ้นปักษ์การดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง ของ
ธนาคารพาณิชย์
2. ปัญหาภาคเอกชนขาดสภาพคล่องในการประกอบธุรกิจ
2.1 ข้อเท็จจริง
- สินเชื่อสถาบันการเงินชะลอตัวลงมากในปี 2540
สินเชื่อธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุน
อัตราเปลี่ยนแปลงเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน 2539 2540
(%) ธ.ค. มี.ค. มิ.ย. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค.
สินเชื่อ ธพ. และ BIBF 14.2 12.9 10.4 9.9 9.7 8.5 8.0
สินเชื่อบริษัทเงินทุนทั้งระบบ 17.8 9.4 0.3 -6.0. -6.6 -8.0 n.a.
ครึ่งหลังของปี 2540 ปรับผลของการตีค่าอัตราแลกเปลี่ยนของสินเชื่อ BIBF แล้ว
- ภาคธุรกิจไม่สามารถหาแหล่งเงินทุนอื่นมาทดแทนสินเชื่อสถาบันการเงินได้ เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นและ
ตลาดตราสารหนี้ในประเทศซบเซามาก และความสามารถในการกู้ยืมจากต่างประเทศลดลงจากการที่อันดับความน่าเชื่อถือตราสาร
หนี้ต่างประเทศของไทยลดลง และปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนทำให้ภาคธุรกิจเอกชนประสบปัญหาขาดสภาพคล่องรุนแรงยิ่งขึ้น
2.2 สาเหตุที่ทำให้สถาบันการเงินจำกัดสินเชื่อ
จากการวิเคราะห์ข้อมูลการเงิน ภาวะตลาด และจากการหารือกับสมาคมธนาคารไทย (เมื่อ 4 กุมภาพันธ์
2541) ประเมินได้ว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้สถาบันการเงินจำกัดการปล่อยสินเชื่อมี 2 ด้านคือ ด้านลูกค้าผู้กู้ และด้านสถาบันการเงิน
ปัญหาด้านลูกค้าผู้กู้ ความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหา
1. ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทำให้ธุรกิจมีความเสี่ยงในการดำเนิน 1. ดำเนินนโยบายอย่างระมัดระวัง เพื่อให้คค่าเงินบาท
ธุรกิจมากขึ้น หากคาดคะเนผิดพลาด มีเสถียรภาพ และมิให้เงินเฟ้อสูงมากนัก
2. หลักประกันมีมูลค่าเสื่อมลง หรือลูกค้ามีหลักประกันไม่ - เร่งให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
เพียงพอ (บสย.)และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า
(ธสน.) ให้มีบทบาทมากขึ้น
- รอการเพิ่มทุนให้ บสย. และ ธสน.
3. ลูกค้ามีคุณภาพลดลง โดยลูกค้ารายใหญ่ส่วนใหญ่กู้ยืมจาก - ธนาคารพาณิชย์ให้ลูกค้าเทศธนกิจแปลงเป็นหนี้เงินบาท
ต่างประเทศ หรือกู้จาก BIBF เป็นเงินตราต่างประเทศ ทำให้
ประสบปัญหาการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน และบางราย
ประสบปัญหาหนี้ต่างประเทศไม่ได้รับการต่ออายุ
4. ลูกค้าสินเชื่อที่เป็นเงินตราต่างประเทศเมื่อแปลงเป็นเงินบาท
ในขณะที่ค่าเงินบาทอ่อนลง ทำให้ติดเงื่อนไขข้อจำกัดสินเชื่อ
ต่อรายเกินกำหนด จึงต้องเรียกหนี้คืน
5. ลูกค้ามีหนี้ที่มีปัญหาค้างชำระกับสถาบันการเงินรายอื่นอยู่ - รอการแก้ไขพระราชบัญญัติล้มละลาย
ด้วย ธนาคารรายใหม่จึงไม่กล้าให้สินเชื่อ
ปัญหาด้านสถาบันการเงิน ความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหา
1. สถาบันการเงินจำเป็นต้องเสริมสร้างความแข็งแกร่งและ - ขณะนี้สถาบันการเงินได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ
มั่นคง โดยการเพิ่มทุน และกันสำรองเพิ่มขึ้นตามมาตรฐาน กำหนดแผนการเพิ่มทุนแล้ว และกำลังทยอยเพิ่มทุน
ใหม่ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของสากล และหาผู้ร่วมทุนต่างประเทศ
2. สถาบันการเงินต้องรักษาสภาพคล่องของตนเอง พร้อมทั้ง - สถาบันการเงินพยายามรักษากระแสเงินสดด้วยการ
ดูแลลูกค้าเดิมมิให้ด้อยคุณภาพ ซึ่งจะเป็นภาระหนักสำหรับ ลงทุนสั้น ๆ ในตตลาดเงิน แทนการให้สินเชื่อใหม่
สถาบันการเงินในการกันสำรองและตัดหนี้สูญ จนกว่าจะสามารถเพิ่มทุนได้ จึงจะทำให้สถาบันการเงิน
มีสภาพคล่องถาวรที่เพียงพอ
ปัญหาด้านสถาบันการเงิน ความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหา
3. สถาบันการเงินต้องกันสภาพคล่องไว้สำหรับชำระคืนหนี้ - สร้างความเข้าใจ และให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่
ต่างประเทศ เนื่องจากเกรงปัญหาความผันผวนอัตราแลก สถาบันการเงินเจ้าหนี้ และบรีษัทจัดอันดับฯ
เปลี่ยนและปัญหาการต่ออายุหนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการถูก
ลดอันดับความน่าเชื่อถือ และ/หรือสถาบันการเงินเจ้าหนี้
ประสบปัญหาทางการเงินเช่นกัน รวมทั้งเกรงว่าตนเองอาจ
ถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลงถ้าไม่ลดระดับการให้กู้ยืมแก่
ประเทศไทยและประเทศอื่นในภูมิภาคนี้
4. สถาบันการเงินยังขาดความพร้อมในการปรับเปลี่ยนวิธีการ - ขณะนี้สถาบันการเงินกำลังเร่งฝึกอบรมอบวิเคราะห์
ประเมินและวิเคราะห์สินเชื่อจาก asset base ไปสู่ cash สินเชื่อใหม่ให้แก่พนักงานสินเชื่อ
flow base จึงต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ ไม่กล้าปล่อย
สินเชื่อใหม่
2.3 อัตราดอกเบี้ยตลาด R/P สูงเร่งให้สถาบันการเงินแข่งขันระดมเงินฝากมากกว่าชะลอการปล่อยสินเชื่อ
- อัตราดอกเบี้ยตลาด R/P ที่อยู่ในระดับสูงกว่าร้อยละ 20 ไม่ใช่สาเหตุสำคัญที่ทำให้สถาบันการเงินไม่ยอม
ปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากเป็นอัตราตามกลไกตลาด (market - clearing) แต่การที่สถาบันการเงินนำเงินมาลงทุนในตลาด R/P
มากขึ้นนั้น เป็นการบริหารสภาพคล่องที่ต้องดำรงไว้ในระดับสูง เนื่องจากเกรงถูกเรียกหนี้ต่างประเทศคืน และลูกค้ามาถอนนอกจาก
นี้ อัตราดอกเบี้ยตลาด R/P ในปัจจุบันมีแนวโน้มลดลงแล้ว ตามภาวะตลาดเงินตราต่างประเทศ และค่าเงินบาทที่ปรับตัวดีขึ้น
- การที่อัตราดอกเบี้ย R/P สูงเป็นภาระต่อสถาบันการเงินที่ต้องการสภาพคล่อง จึงหันไปเร่งระดมเงินฝากแทน
การพึ่งเงินกู้ในตลาด R/P
3. มาตรการการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออก
3.1 ข้อเท็จจริง
ผู้ส่งออกได้รับสินเชื่อจากแหล่งต่าง ๆ ดังนี้
ยอดคงค้างสินเชื่อเพื่อการส่งออก
หน่วย : พันล้านบาท 2540 2541
(ยกเว้นระบุ) มิ.ย. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ม.ค.
1. ธนาคารพาณิชย์ 1/ 176.6 194.8 198.5 n.a. n.a. n.a.
2. ธสน.
2.1 ปล่อยร่วมกับ ธพ. และได้รับ 23.0 22.9 3.7 20.7 21.4 22.9
Refinancing จากธนาคาร
แห่งประเทศไทย 2/
2.2 จากวงเงินกู้ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 3/ - - 1.2 3.6 9.1 15.5
(คิดเป็นเงินล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) (24.73) (75.39) (192.92) (276.58)
2.3 จากแหล่งเงินอื่นที่ให้กู้เป็นบาทและ 10.9 15.9 19.5 20.4 4.6 n.a.
ดอลลาร์สหรัฐฯ
1/ไม่รวมเม็ดเงินที่ได้รับ refinancing จาก ธสน.
2/ เฉพาะส่วนที่เป็นเม็ดเงินจาก ธปท.
3/ อัตราแลกเปลี่ยนที่ ธสน. ใช้ลงบัญชีในปี 2540 คือ 47.30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ
หมายเหตุ : สินเชื่อส่งออกส่วนใหญ่อายุไม่เกิน 180 วัน
3.2 ปัญหา
- ผู้ส่งออกร้องเรียนว่าธนาคารพาณิชย์จำกัดวงเงิน ทำให้ไม่ได้รับสินเชื่อเพียงพอในการซื้อวัตถุดิบเพื่อผลิต และส่งออก
เป็นอุปสรรคต่อการเร่งขยายการส่งออก
- กระทรวงพาณิชย์ (ผ่านศูนย์ประสานสินเชื่อเพื่อการส่งออก) ได้จัดส่งรายชื่อผู้ส่งออกที่มาขอคำปรึกษาจากศูนย์ฯ ซึ่ง
มีผู้ที่อยู่ในข่ายที่จะได้รับพิจารณาอนุมัติเงินกู้จำนวน 75 ราย ให้สมาคมธนาคารไทยดำเนินการต่อ และทราบเบื้องต้นว่ามีผู้ได้รับ
สินเชื่อเพียง 2 รายเท่านั้น จึงขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยสอบถามความคืบหน้าจากธนาคารพาณิชย์
- ธนาคารพาณิชย์มีความเห็นว่าน้ำหนักความเสี่ยงตามมาตรฐานการดำรงเงินกองทุนของ BIS สำหรับสินเชื่อส่งออกมี
อัตราสูงเกินไป ไม่จูงใจให้ปล่อยสินเชื่อ
3.3 ความคืบหน้ามาตรการเงินเพื่อส่งเสริมการส่งออก
3.3.1 มาตรการที่ดำเนินการแล้ว
- ธนาคารแห่งประเทศไทยเพิ่มสัดส่วนวงเงินสมทบกับเงินของสถาบันการเงินจากเดิม 50:50 เป็น 60:40
และให้เพิ่มอัตราดอกเบี้ยปลายทางที่คิดจากผู้ส่งออกจากร้อยละ 12 เป็นร้อยละ 13 ต่อปี เริ่มตั้งแต่ 20 มกราคม 2541 ซึ่งจะเพิ่ม
แรงจูงใจให้สถาบันการเงินสนใจปล่อยเงินกู้ให้ผู้ส่งออกมากขึ้น
- ธนาคารแห่งประเทศไทยได้สอบถามความคืบหน้าจากธนาคารพาณิชย์เกี่ยวกับสินเชื่อตามโครงการแก้ไขปัญหา
สภาพคล่องของศูนย์ประสานสินเชื่อเพื่อการส่งออก ปรากฏว่าถึงปัจจุบัน (12 กุมภาพันธ์ 2541) ธนาคารพาณิชย์ได้อนุมัติสินเชื่อตาม
โครงการดังกล่าวแล้ว 13 ราย อนุมัติปรับวงเงินเดิม 6 รายอยู่ระหว่างการพิจารณา 37 ราย ไม่อยู่ในข่ายได้รับวงเงิน 30 ราย
และไม่มาติดต่ออีก 75 ราย
3.3.2 มาตรการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ
- คณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยอนุมัติเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2541 ให้ ธสน. สามารถใช้เงินกู้จาก
ธนาคารแห่งประเทศไทยให้สินเชื่อโดยตรงแก่ผู้ส่งออก และผู้ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมเพื่อส่งออกได้ (โดยเป็นเงินสมทบจากธนาคาร
แห่งประเทศไทยร้อยละ 60) รวมวงเงิน 5,000 ล้านบาท (เป็นส่วนหนึ่งของวงเงินรวม 33,000 ล้านบาท ที่ ธสน. ให้กู้ผ่าน
ธนาคารพาณิชย์) ซึ่งความคืบหน้าขณะนี้อยู่ระหว่างการออกระเบียบปฏิบัติ คาดว่าจะดำเนินการได้ประมาณเดือนมีนาคม 2541
- ธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังดำเนินการปรับปรุงน้ำหนักความเสี่ยง สำหรับสินเชื่อส่งออกประเภทที่มี L/C
เป็นเอกสารประกอบ (คิดเป็นประมาณร้อยละ 30 ของสินเชื่อส่งออกทั้งหมด) ให้มีน้ำหนักความเสี่ยงร้อยละ 20ทั้งในช่วงก่อน และ
หลังการส่งสินค้าลงเรือเช่นเดียวกับที่ประเทศอื่นใช้อยู่ (แต่เดิมให้เฉพาะหลังส่งสินค้าลงเรือ) และสำหรับสินเชื่อส่งออกที่ไม่มี L/C
แต่มีเอกสารอื่นที่กำหนดเงื่อนไขการชำระเงิน โดยมีธนาคารพาณิชย์ในต่างประเทศรับภาระชำระเงินค่าสินค้าแทนผู้ซื้อ ซึ่งจัดได้ว่ามี
ความเสี่ยงต่ำ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะพิจารณาให้มีน้ำหนักความเสี่ยงร้อยละ 20 ซึ่งความคืบหน้าในเรื่องนี้ธนาคารแห่งประเทศ
ไทยกำลังเสนอขอความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังเพื่อดำเนินการออกประกาศต่อไป
อนึ่ง สำหรับสินเชื่อเพื่อการส่งออกประเภท D/A และ D/P นั้น หากได้รับการค้ำประกันจาก ธสน. แล้ว จะมี
น้ำหนักความเสี่ยงร้อยละ 20 และหากรัฐบาลค้ำประกันอีกชั้นหนึ่ง ความเสี่ยงจะลดลงเป็นศูนย์
- ธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังพิจารณาข้อเสนอของกิจการวิเทศธนกิจ ที่ให้กิจการวิเทศธนกิจสามารถให้กู้ยืม
แก่ผู้ส่งออกขนาดกลาง และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกได้ เนื่องจากปัจจุบันมีข้อกำหนดการกู้ยืมขั้นต่ำ 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
3.3.3 มาตรการอื่นเพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องทางการเงินแก่ภาคการส่งออกและการค้า
1) การค้ำประกันผู้ส่งออก และผู้ประกอบการค้าของไทย
- กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมระหว่างประเทศของญี่ปุ่น(Ministry of International Trade
and Industry หรือ MITI) ให้ความช่วยเหลือเพื่อเพิ่มสภาพคล่องแก่ผู้ส่งออก และผู้ประกอบการไทยในรูปของการค้ำประกันการ
ค้าและการลงทุนและการชำระค่าสินค้าล่วงหน้าในวงเงิน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเวลา 2 ปี ตั้งแต่ 9 ตุลาคม 2540
ประกอบด้วย
ก. การประกันการจ่ายเงินค่าสินค้านำเข้าล่วงหน้า (Prepayment Import Insurance) โดย MITI
จะค้ำประกันการจ่ายเงินล่วงหน้าของผู้นำเข้าญี่ปุ่นซึ่งจ่ายแก่ผู้ส่งออกไทยหากผู้ส่งออกไทยไม่สามารถส่งมอบสินค้าตามสัญญา
ข. การค้ำประกันเงินกู้ที่ไม่มีข้อผูกมัด (Overseas United Loan Insurance) โดย MITI จะประกัน
การได้รับชำระเงินคืน สำหรับเงินที่สถาบันการเงิน และธุรกิจญี่ปุ่นให้กู้แก่ธุรกิจไทย (ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ การปรับโครงสร้าง
อุตสาหกรรมหรือบริษัทส่งออกของญี่ปุ่นในไทย) เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนและเงินลงทุน
มาตรการดังกล่าวจะช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่บริษัทและสถาบันการเงินในญี่ปุ่นที่มีต่อบริษัทในประเทศไทย
ทั้งนี้ บริษัทในญี่ปุ่นจะต้องเป็นผู้ยื่นขอรับการค้ำประกันจาก MITI/EID ในญี่ปุ่น และเจ้าหน้าที่ประกันของญี่ปุ่นจะประเมินฐานะความ
น่าเชื่อถือ (credit - worthiness) ของลูกค้าไทย และพิจารณาอนุมัติการค้ำประกัน
2) โครงการประกันการส่งออกสินค้าเกษตรสหรัฐอเมริกาวงเงิน 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ระยะเวลาประกัน 3 ปี
ธนาคารไทยรวม 7 แห่งที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการนี้ สามารถนำสินเชื่อที่ค้ำประกันโดยบรรษัทสินเชื่อสินค้า
โภคภัณฑ์สหรัฐฯ ไปขอกู้เงินจากธนาคารสหรัฐฯ ได้เป็นเวลา 3 ปี ณ อัตราดอกเบี้ย LIBOR โดยที่ผู้นำเข้าไทยมีแนวโน้มชำระคืน
หนี้ธนาคารในระยะเวลาที่สั้นกว่า 3 ปี(ส่วนใหญ่ 6 เดือน - 1 ปี) ทำให้ธนาคารไทยสามารถใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเวลา
ที่เหลือได้
โครงการนี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อบริษัทไทยที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เช่น ถั่ว
เหลืองเพื่ออุตสาหกรรมเลี้ยงไก่ และฝ้ายเพื่อผลิตสิ่งทอ เป็นต้น
3) การกู้ยืมจากต่างประเทศเพื่อสนับสนุนผู้ส่งออก
- ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าของญี่ปุ่น (The Export - Import Bank of Japan) กำลังพิจารณาให้
เงินกู้แก่ ธสน. และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อปล่อยกู้โดยตรงแก่ผู้ส่งออก และผู้ผลิตเพื่อการส่งออก ในวง
เงินประมาณ 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยคาดว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงภายในไตรมาสแรกปีนี้
- ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย(ADB)และธนาคารพาณิชย์ชั้นนำทั่วโลกกำลังพิจารณาจัดหาเงินกู้ co-financing
เพื่อช่วยเหลือสภาพคล่องแก่ภาคการส่งออกจำนวน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะพิจารณาเงินกู้ได้ในไตรมาสแรกของปีนี้
4. สรุปความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาสภาพคล่อง
1) ทางการกำลังเร่งรัดการเพิ่มทุนของสถาบันการเงินให้รวดเร็วที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาค่อนข้างมีอุปสรรค ทั้งการเพิ่ม
ทุนภายในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้ชี้แจงให้สมาคมธนาคารไทยทราบแล้วว่าทางการพร้อมที่จะเข้าไป
ช่วยเหลือ โดยจะช่วยเจรจาหาแหล่งเงินให้ หรือเจรจาเงื่อนไขกับนักลงทุนต่างประเทศ
อนึ่งจนถึง 10 กุมภาพันธ์ 2541 ทางการโดยกองทุนฟื้นฟูฯ ได้เข้าไปมีบทบาทในการเพิ่มทุนให้ธนาคารไทยรวม 5
แห่ง โดยแปลงหนี้เป็นทุนของธนาคารศรีนครไปแล้ว 25.0 พันล้านบาท และเพิ่มทุนให้กับธนาคารกรุงไทย 20.0 พันล้านบาท (โดย
3.7 พันล้านบาทเป็นเม็ดเงินจากผู้ถือหุ้นรายย่อย)และจะได้แปลงหนี้เป็นทุนเพิ่มอีก 3 ธนาคารคือ กรุงเทพฯ พาณิชย์การ มหานคร
และนครหลวงไทย เป็นจำนวน 6.2 หมื่นล้านบาทภายในเดือนกุมภาพันธ์
2) การปรับลดอัตราดอกเบี้ยตลาด R/P ลงจะไม่ช่วยกระตุ้นให้สถาบันการเงิน ปล่อยสินเชื่อได้เพิ่มขึ้นมากนัก แต่
อาจช่วยลดการแข่งขันระดมเงินฝากระหว่างสถาบันการเงินได้บ้าง ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยจะพยายามปรับลดอัตราดอกเบี้ย
R/P ลงแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนค่าเงินบาทมากนัก (ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับ IMF ในเรื่องการ
กำหนดนโยบายอัตราดอกเบี้ย)
สำหรับประเด็นที่เสนอให้มีการเพิ่มส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยให้กู้และขอกู้ในตลาด R/P นั้น อาจเกิดผล
เสียมากกว่าผลดี เพราะอาจทำให้อุปทานของเงินในตลาด R/P ลดลง จะยิ่งทำให้อัตราดอกเบี้ยเสนอขอกู้สูงยิ่งขึ้นกว่าในปัจจุบัน
และในที่สุดธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องเข้าไปปล่อยเงินให้มากขึ้นกว่าเดิม ทั้งนี้ธนาคารได้หารือกับผู้บริหารระดับสูงของธนาคาร
พาณิชย์ไทยแล้ว เห็นว่าจะมีปัญหาในทางปฏิบัติ และอัตราดอกเบี้ยไม่สะท้อนกลไกตลาด
3) ทางการได้ชี้แจงให้ผู้บริหารสถาบันการเงิน มิให้แข่งขันระดมเงินฝาก ด้วยการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยมากเกินไป
เพราะจะเป็นภาระแก่ลูกค้าสินเชื่อ รวมทั้งขอให้สถาบันการเงินพิจารณาความน่าเชื่อถือของลูกค้าแต่ละรายอย่างตรงไปตรงมาโดย
ให้คำนึงถึงความสามารถ ในการสร้างรายได้ของลูกค้าเป็นสำคัญ (cash flow) ไม่ใช่พิจารณาตามมูลค่าปัจจุบันของหลักประกัน
(collateral value) แต่เพียงอย่างเดียว และทางการได้จัดหาแหล่งเงินและสภาพคล่องให้กับสถาบันการเงินเพื่อปล่อยสินเชื่อ
อยู่แล้ว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2541--