ทำเนียบรัฐบาล--8 ธ.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานสถานะหนี้ต่างประเทศของไทย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2541 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. สถานะหนี้ต่างประเทศโดยรวม
ยอดหนี้คงค้างต่างประเทศ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2541 มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 86,685 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากสิ้นปีงบประมาณ 2541 ร้อยละ 8.63 เนื่องจากหนี้ภาคเอกชนลดลงมาก ทั้งนี้ หนี้ภาคธนาคารและธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคาร ลดลงร้อยละ 26.14 และร้อยละ 13.27 ตามลำดับ โดยลดลงมาก ทั้งในหนี้ระยะยาวและระยะสั้น ขณะเดียวกันหนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย และหนี้ภาครัฐบาล ซึ่งแทบทั้งหมดเป็นหนี้ระยะยาว เพิ่มขึ้นจากการเบิกเงินกู้ภายใต้โปรแกรมกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจจากธนาคารโลก และธนาคารพัฒนาเอเชีย ส่งผลให้หนี้ระยะยาวต่อหนี้ระยะสั้นเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วน 70:30 จาก 65:35 ณ สิ้นปีงบประมาณก่อน
หนี้คงค้างต่างประเทศ วงเงิน (ล้านเหรียญสหรัฐ)
กู้
ก.ย. 2540 ก.ย. 25411. ภาครัฐบาล 17,034 18,261
ระยะยาว 17,014 18,111
ระยะสั้น 20 1502. ธปท.(ระยะยาว) 4,480 10,2883. ภาคเอกชน 73,361 58,136
ระยะยาว 40,479 32,192
ระยะสั้น 32,882 25,944รวม 94,875 86,685
ระยะยาว 61,973 60,591
ระยะสั้น 32,902 26,094
1.1 หนี้ภาครัฐบาล
หนี้ต่างประเทศภาครัฐบาล ประกอบด้วย หนี้ของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ทั้งที่รัฐบาลค้ำประกันและไม่ค้ำประกัน โดย ณ สิ้นกันยายน 2541 มียอดหนี้ระยะยาวคงค้าง จำนวน 18,111 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีงบประมาณ 2540 จำนวน 1,097 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.45 ในจำนวนนี้เป็นหนี้ของส่วนราชการ จำนวน 4,299 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 46.51 จากเงินกู้ในส่วนการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และหนี้ของรัฐวิสาหกิจ จำนวน 13,812 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 1.86 เนื่องจากการชะลอการลงทุนของรัฐวิสาหกิจในปีที่ผ่านมา
สำหรับหนี้ภาครัฐบาลระยะสั้น ณ สิ้นกันยายน 2541 มีจำนวนรวม 150 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มจากสิ้นกันยายน 2540 จำนวน 130 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งทั้งหมดเป็นหนี้ของรัฐวิสาหกิจและเป็นการกู้จากธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ
ในยอดหนี้คงค้างภาครัฐบาล (ระยะยาว) ที่กล่าว เป็นเงินกู้รัฐบาลต่างประเทศ (Bilateral) ร้อยละ 32.14 สถาบันการเงินระหว่างประเทศ (Multilateral) ร้อยละ 24.31 เงินกู้ตลาดเงินทุน (Capital Market) ร้อยละ 36.50 และเงินกู้สินเชื่อเพื่อการส่งออก (Export Credit) ร้อยละ 7.05 ในส่วนของเงินกู้รัฐบาลต่างประเทศ ญี่ปุ่นเป็นผู้ให้กู้รายใหญ่ที่สุด คิดเป็นร้อยละ 88.11 รองลงมาได้แก่ เยอรมนีและสหรัฐอเมริกา สำหรับในส่วนของเงินกู้จากสถาบันการเงินระหว่างประเทศ เป็นเงินกู้จากธนาคารโลก ร้อยละ 46.96 ธนาคารพัฒนาเอเซีย ร้อยละ 46.40 และอื่น ๆ ร้อยละ 6.64 องค์ประกอบหนี้คงค้างภาครัฐบาล (ระยะยาว) จำแนกตามภาคเศรษฐกิจเงินกู้เพื่อพัฒนาพลังงานมีสัดส่วนสูงสุด โดย ณ กันยายน 2541 มีสัดส่วนร้อยละ 29.85 ตามด้วยสาขาคมนาคม ร้อยละ 27.35 การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจร้อยละ 7.47 และการเกษตร ร้อยละ 5.15 ตามลำดับ
1.2 หนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย
ณ สิ้นกันยายน 2541 ธนาคารแห่งประเทศไทยมียอดเงินกู้คงค้างจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ภายใต้โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจทั้งสิ้น 10,288 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 11.9 ของยอดหนี้คงค้างทั้งประเทศ โดยร้อยละ 46 ของหนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นเงินกู้จากธนาคารกลางของมิตรประเทศที่ร่วมโครงการฯ
1.3 หนี้ต่างประเทศของภาคเอกชน
หนี้ภาคเอกชนยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่กลางปี 2541 โดยเฉพาะหนี้ระยะสั้นที่มีการชำระคืนมากอย่างต่อเนื่องของธนาคารพาณิชย์และกิจการวิเทศธนกิจ ส่วนการลดลงของหนี้ระยะยาวมีมากขึ้นในช่วงปลายปีงบประมาณ ทำให้ ณ สิ้นกันยายน 2541 มียอดคงค้างทั้งสิ้น 58,136 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 20.75 จากสิ้นปีงบประมาณ 2540 โดยหนี้ระยะสั้นลดลงร้อยละ 21.10 และหนี้ระยะยาวลดลงร้อยละ 20.47 สำหรับสัดส่วนหนี้ระยะยาวต่อหนี้ระยะสั้นของภาคเอกชนอยู่ในระดับร้อยละ 55:45 เช่นเดียวกับ ณ สิ้นปีงบประมาณก่อน
1.3.1 หนี้ต่างประเทศของภาคธนาคาร
หนี้ต่างประเทศภาคธนาคารมีแนวโน้มลดลงมาตลอด โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2541 มียอดคงค้าง 31,502 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 26.14 จาก ณ สิ้นปีงบประมาณ 2540 เป็นการลดลงของหนี้ธนาคารพาณิชย์ถึงร้อยละ 31.84 และหนี้กิจการวิเทศธนกิจร้อยละ 24.05 เนื่องจากการทยอยคืนหนี้มากขึ้น โดยเฉพาะหนี้ระยะสั้นของกิจการวิเทศธนกิจ เป็นผลจากสภาพคล่องของระบบธนาคารที่มีมากขึ้น และจากค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในช่วงดังกล่าว
1.3.2 หนี้ต่างประเทศของภาคธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคาร
หนี้ต่างประเทศภาคธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคารมียอดคงค้าง ณ สิ้นเดือนกันยายน 2541 จำนวน 26,634 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 13.27 จากสิ้นกันยายน 2540 โดยหนี้ระยะสั้นเพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 0.56 ส่วนหนี้ระยะยาวลดลงร้อยละ 16.42 เนื่องจากมีการชำระหนี้คืนบางส่วน เนื่องจากค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งขึ้น โดยประเทศเจ้าหนี้ที่สำคัญประกอบด้วย ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ และเนเธอร์แลนด์
2. ภาระหนี้ต่างประเทศโดยรวม
ปีงบประมาณ 2541 ภาระหนี้ต่างประเทศมีจำนวนทั้งสิ้น 13,448 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.16 จากระยะเดียวกันของปีก่อน โดยภาคเอกชนซึ่งมีสัดส่วนภาระหนี้ร้อยละ 84 ของภาระหนี้รวมทั้งประเทศ เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 31.82 เป็นการเพิ่มขึ้นมากในส่วนของการชำระคืนเงินต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งของกิจการวิเทศธนกิจ ซึ่งในไตรมาส 3 มีการชำะคืนสูงมาก ส่วนหนึ่งเนื่องจากเจ้าหนี้ใช้สิทธิเรียกคืนตามสัญญา put option ประกอบกับมีการแปลงลูกหนี้เงินตราต่างประเทศเป็นหนี้บาทกับธนาคารพาณิชย์แม่ แล้วกิจการวิเทศธนกิจชำระคืนหนี้ต่างประเทศแทน นอกจากนี้ ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นมีส่วนจูงใจให้มีการเร่งคืนหนี้แทนการต่ออายุหนี้ด้วย
ภาระหนี้โดยรวมเมื่อเทียบกับรายได้เงินตราต่างประเทศจากการส่งออกสินค้าและบริการ (Debt Service Ratio) มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 13.71 ในช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็นร้อยละ 19.60 โดยภาระการชำระคืนเงินต้นเพิ่มขึ้นสูงมาก ขณะที่รายได้เงินตราต่างประเทศจากการส่งออกสินค้าและบริการลดลงร้อยละ 7.78 ทั้งนี้ debt service ratio ภาคเอกชนเพิ่มขึ้นมาก ขณะที่ภาครัฐบาลรวมธนาคารแห่งประเทศไทยเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของการชำระค่าดอกเบี้ยเงินกู้ตามโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจของกองทุนการเงินฯ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 8 ธันวาคม 2541--
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานสถานะหนี้ต่างประเทศของไทย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2541 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. สถานะหนี้ต่างประเทศโดยรวม
ยอดหนี้คงค้างต่างประเทศ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2541 มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 86,685 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากสิ้นปีงบประมาณ 2541 ร้อยละ 8.63 เนื่องจากหนี้ภาคเอกชนลดลงมาก ทั้งนี้ หนี้ภาคธนาคารและธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคาร ลดลงร้อยละ 26.14 และร้อยละ 13.27 ตามลำดับ โดยลดลงมาก ทั้งในหนี้ระยะยาวและระยะสั้น ขณะเดียวกันหนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย และหนี้ภาครัฐบาล ซึ่งแทบทั้งหมดเป็นหนี้ระยะยาว เพิ่มขึ้นจากการเบิกเงินกู้ภายใต้โปรแกรมกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจจากธนาคารโลก และธนาคารพัฒนาเอเชีย ส่งผลให้หนี้ระยะยาวต่อหนี้ระยะสั้นเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วน 70:30 จาก 65:35 ณ สิ้นปีงบประมาณก่อน
หนี้คงค้างต่างประเทศ วงเงิน (ล้านเหรียญสหรัฐ)
กู้
ก.ย. 2540 ก.ย. 25411. ภาครัฐบาล 17,034 18,261
ระยะยาว 17,014 18,111
ระยะสั้น 20 1502. ธปท.(ระยะยาว) 4,480 10,2883. ภาคเอกชน 73,361 58,136
ระยะยาว 40,479 32,192
ระยะสั้น 32,882 25,944รวม 94,875 86,685
ระยะยาว 61,973 60,591
ระยะสั้น 32,902 26,094
1.1 หนี้ภาครัฐบาล
หนี้ต่างประเทศภาครัฐบาล ประกอบด้วย หนี้ของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ทั้งที่รัฐบาลค้ำประกันและไม่ค้ำประกัน โดย ณ สิ้นกันยายน 2541 มียอดหนี้ระยะยาวคงค้าง จำนวน 18,111 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีงบประมาณ 2540 จำนวน 1,097 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.45 ในจำนวนนี้เป็นหนี้ของส่วนราชการ จำนวน 4,299 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 46.51 จากเงินกู้ในส่วนการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และหนี้ของรัฐวิสาหกิจ จำนวน 13,812 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 1.86 เนื่องจากการชะลอการลงทุนของรัฐวิสาหกิจในปีที่ผ่านมา
สำหรับหนี้ภาครัฐบาลระยะสั้น ณ สิ้นกันยายน 2541 มีจำนวนรวม 150 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มจากสิ้นกันยายน 2540 จำนวน 130 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งทั้งหมดเป็นหนี้ของรัฐวิสาหกิจและเป็นการกู้จากธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ
ในยอดหนี้คงค้างภาครัฐบาล (ระยะยาว) ที่กล่าว เป็นเงินกู้รัฐบาลต่างประเทศ (Bilateral) ร้อยละ 32.14 สถาบันการเงินระหว่างประเทศ (Multilateral) ร้อยละ 24.31 เงินกู้ตลาดเงินทุน (Capital Market) ร้อยละ 36.50 และเงินกู้สินเชื่อเพื่อการส่งออก (Export Credit) ร้อยละ 7.05 ในส่วนของเงินกู้รัฐบาลต่างประเทศ ญี่ปุ่นเป็นผู้ให้กู้รายใหญ่ที่สุด คิดเป็นร้อยละ 88.11 รองลงมาได้แก่ เยอรมนีและสหรัฐอเมริกา สำหรับในส่วนของเงินกู้จากสถาบันการเงินระหว่างประเทศ เป็นเงินกู้จากธนาคารโลก ร้อยละ 46.96 ธนาคารพัฒนาเอเซีย ร้อยละ 46.40 และอื่น ๆ ร้อยละ 6.64 องค์ประกอบหนี้คงค้างภาครัฐบาล (ระยะยาว) จำแนกตามภาคเศรษฐกิจเงินกู้เพื่อพัฒนาพลังงานมีสัดส่วนสูงสุด โดย ณ กันยายน 2541 มีสัดส่วนร้อยละ 29.85 ตามด้วยสาขาคมนาคม ร้อยละ 27.35 การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจร้อยละ 7.47 และการเกษตร ร้อยละ 5.15 ตามลำดับ
1.2 หนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย
ณ สิ้นกันยายน 2541 ธนาคารแห่งประเทศไทยมียอดเงินกู้คงค้างจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ภายใต้โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจทั้งสิ้น 10,288 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 11.9 ของยอดหนี้คงค้างทั้งประเทศ โดยร้อยละ 46 ของหนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นเงินกู้จากธนาคารกลางของมิตรประเทศที่ร่วมโครงการฯ
1.3 หนี้ต่างประเทศของภาคเอกชน
หนี้ภาคเอกชนยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่กลางปี 2541 โดยเฉพาะหนี้ระยะสั้นที่มีการชำระคืนมากอย่างต่อเนื่องของธนาคารพาณิชย์และกิจการวิเทศธนกิจ ส่วนการลดลงของหนี้ระยะยาวมีมากขึ้นในช่วงปลายปีงบประมาณ ทำให้ ณ สิ้นกันยายน 2541 มียอดคงค้างทั้งสิ้น 58,136 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 20.75 จากสิ้นปีงบประมาณ 2540 โดยหนี้ระยะสั้นลดลงร้อยละ 21.10 และหนี้ระยะยาวลดลงร้อยละ 20.47 สำหรับสัดส่วนหนี้ระยะยาวต่อหนี้ระยะสั้นของภาคเอกชนอยู่ในระดับร้อยละ 55:45 เช่นเดียวกับ ณ สิ้นปีงบประมาณก่อน
1.3.1 หนี้ต่างประเทศของภาคธนาคาร
หนี้ต่างประเทศภาคธนาคารมีแนวโน้มลดลงมาตลอด โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2541 มียอดคงค้าง 31,502 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 26.14 จาก ณ สิ้นปีงบประมาณ 2540 เป็นการลดลงของหนี้ธนาคารพาณิชย์ถึงร้อยละ 31.84 และหนี้กิจการวิเทศธนกิจร้อยละ 24.05 เนื่องจากการทยอยคืนหนี้มากขึ้น โดยเฉพาะหนี้ระยะสั้นของกิจการวิเทศธนกิจ เป็นผลจากสภาพคล่องของระบบธนาคารที่มีมากขึ้น และจากค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในช่วงดังกล่าว
1.3.2 หนี้ต่างประเทศของภาคธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคาร
หนี้ต่างประเทศภาคธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคารมียอดคงค้าง ณ สิ้นเดือนกันยายน 2541 จำนวน 26,634 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 13.27 จากสิ้นกันยายน 2540 โดยหนี้ระยะสั้นเพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 0.56 ส่วนหนี้ระยะยาวลดลงร้อยละ 16.42 เนื่องจากมีการชำระหนี้คืนบางส่วน เนื่องจากค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งขึ้น โดยประเทศเจ้าหนี้ที่สำคัญประกอบด้วย ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ และเนเธอร์แลนด์
2. ภาระหนี้ต่างประเทศโดยรวม
ปีงบประมาณ 2541 ภาระหนี้ต่างประเทศมีจำนวนทั้งสิ้น 13,448 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.16 จากระยะเดียวกันของปีก่อน โดยภาคเอกชนซึ่งมีสัดส่วนภาระหนี้ร้อยละ 84 ของภาระหนี้รวมทั้งประเทศ เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 31.82 เป็นการเพิ่มขึ้นมากในส่วนของการชำระคืนเงินต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งของกิจการวิเทศธนกิจ ซึ่งในไตรมาส 3 มีการชำะคืนสูงมาก ส่วนหนึ่งเนื่องจากเจ้าหนี้ใช้สิทธิเรียกคืนตามสัญญา put option ประกอบกับมีการแปลงลูกหนี้เงินตราต่างประเทศเป็นหนี้บาทกับธนาคารพาณิชย์แม่ แล้วกิจการวิเทศธนกิจชำระคืนหนี้ต่างประเทศแทน นอกจากนี้ ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นมีส่วนจูงใจให้มีการเร่งคืนหนี้แทนการต่ออายุหนี้ด้วย
ภาระหนี้โดยรวมเมื่อเทียบกับรายได้เงินตราต่างประเทศจากการส่งออกสินค้าและบริการ (Debt Service Ratio) มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 13.71 ในช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็นร้อยละ 19.60 โดยภาระการชำระคืนเงินต้นเพิ่มขึ้นสูงมาก ขณะที่รายได้เงินตราต่างประเทศจากการส่งออกสินค้าและบริการลดลงร้อยละ 7.78 ทั้งนี้ debt service ratio ภาคเอกชนเพิ่มขึ้นมาก ขณะที่ภาครัฐบาลรวมธนาคารแห่งประเทศไทยเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของการชำระค่าดอกเบี้ยเงินกู้ตามโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจของกองทุนการเงินฯ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 8 ธันวาคม 2541--