เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาตินเรนทร (องค์การมหาชน) พ.ศ. ...
และขออนุมัติแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศไทยเพื่อเฉลิมพระเกียรติ
ในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติ ครบ 60 ปี
คณะรัฐมนตรีพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาตินเรนทร (องค์การ-มหาชน) พ.ศ. ... และขออนุมัติแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศไทยเพื่อเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติ ครบ 60 ปี ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ แล้วมีมติดังนี้
1. เห็นชอบหลักการในการจัดตั้งสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาตินเรนทร (องค์การมหาชน) โดยให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาตินเรนทร (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... ไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมรอบคอบชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต่อไป
2. สำหรับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศไทย เพื่อเฉลิมพระเกียรติใน วโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เนื่องจากเป็นเรื่องนโยบายที่มีผลผูกพันคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ จึงให้กระทรวงสาธารณสุขนำเสนอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่พิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขชี้แจงว่า
1. ปัจจุบันโครงสร้างการจัดบริการการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศยังมีลักษณะเป็นโครงสร้างชั่วคราว ดำเนินงานโดยสำนักงานระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน (ศูนย์นเรนทร) ซึ่งมีเพียงบุคลากรที่ขอตัวมาช่วยราชการและ ลูกจ้างชั่วคราวปฏิบัติงานอยู่เท่านั้น นอกจากนี้ยังอยู่ในระบบราชการทำให้มีปัญหาความคล่องตัวและประสิทธิภาพในการจัดการด้วย
2. แหล่งเงินเพื่อจัดบริการการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศนั้นมาจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งนับเป็นแหล่งงบประมาณหลักสำหรับการอุดหนุนการบริการ ในขณะที่จากสถิติการให้บริการที่ผ่านมานั้นผู้รับบริการการแพทย์ฉุกเฉินไม่ได้มีเพียงเฉพาะผู้มีสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเท่านั้น (บัตรทอง 30 บาทช่วยคนไทยห่างไกลโรค) แต่ยังมีมาจากผู้มีสิทธิกลุ่มอื่น เช่น สวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ประกันสังคม ประกันผู้ประสบภัยจากรถ ประกันภัยเอกชน รวมทั้งชาวต่างชาติที่เข้ามาประกอบอาชีพและท่องเที่ยว การใช้งบประมาณที่ได้จากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเพียงแหล่งเดียวเพื่อจ่ายค่าบริการดังกล่าวเมื่อผู้มีสิทธิอื่นดังกล่าวมาใช้บริการ จึงเป็น การเบียดเบียนผู้มีสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
3. เนื่องจากการบริหารจัดการ รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานและผู้ให้บริการยังมีจำนวนไม่เพียงพอ จึงสามารถให้บริการครอบคลุมพื้นที่ได้เพียงส่วนน้อยของประเทศ ไม่สามารถให้บริการแก่ผู้เจ็บป่วยฉุกเฉินที่จำเป็นได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ ทำให้ไม่สามารถใช้งบประมาณที่ได้รับจากระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าอุดหนุนค่าบริการการแพทย์ฉุกเฉินได้ตามที่วางแผนไว้ อย่างไรก็ตามหากมีการสร้างและพัฒนาผู้ให้บริการให้ครอบคลุมทั่วถึงและมีจำนวนเพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบริการประชาชนในเขตชนบทห่างไกลก็ทำให้มีความจำเป็นต้องพัฒนาระบบการเงินที่เหมาะสมและเป็นธรรมเพื่อเฉลี่ยทุกข์สุขจากแหล่งต่าง ๆ เช่น ประกันผู้ประสบภัยจากรถสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการกองทุนประกันสังคมเพื่อสนับสนุนให้มีบริการการแพทย์ฉุกเฉินเกิดขึ้นอย่างเพียงพอต่อการให้บริการที่จำเป็น รวมทั้งระบบเงินสมทบเพื่อพัฒนาและสนับสนุนระบบบริการทางการแพทย์ฉุกเฉิน ระบบโครงสร้างพื้นฐานและหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินทุกระดับ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) (รักษาการนายกรัฐมนตรี) วันที่ 21 มีนาคม 2549--จบ--
และขออนุมัติแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศไทยเพื่อเฉลิมพระเกียรติ
ในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติ ครบ 60 ปี
คณะรัฐมนตรีพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาตินเรนทร (องค์การ-มหาชน) พ.ศ. ... และขออนุมัติแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศไทยเพื่อเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติ ครบ 60 ปี ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ แล้วมีมติดังนี้
1. เห็นชอบหลักการในการจัดตั้งสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาตินเรนทร (องค์การมหาชน) โดยให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาตินเรนทร (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... ไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมรอบคอบชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต่อไป
2. สำหรับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศไทย เพื่อเฉลิมพระเกียรติใน วโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เนื่องจากเป็นเรื่องนโยบายที่มีผลผูกพันคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ จึงให้กระทรวงสาธารณสุขนำเสนอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่พิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขชี้แจงว่า
1. ปัจจุบันโครงสร้างการจัดบริการการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศยังมีลักษณะเป็นโครงสร้างชั่วคราว ดำเนินงานโดยสำนักงานระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน (ศูนย์นเรนทร) ซึ่งมีเพียงบุคลากรที่ขอตัวมาช่วยราชการและ ลูกจ้างชั่วคราวปฏิบัติงานอยู่เท่านั้น นอกจากนี้ยังอยู่ในระบบราชการทำให้มีปัญหาความคล่องตัวและประสิทธิภาพในการจัดการด้วย
2. แหล่งเงินเพื่อจัดบริการการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศนั้นมาจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งนับเป็นแหล่งงบประมาณหลักสำหรับการอุดหนุนการบริการ ในขณะที่จากสถิติการให้บริการที่ผ่านมานั้นผู้รับบริการการแพทย์ฉุกเฉินไม่ได้มีเพียงเฉพาะผู้มีสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเท่านั้น (บัตรทอง 30 บาทช่วยคนไทยห่างไกลโรค) แต่ยังมีมาจากผู้มีสิทธิกลุ่มอื่น เช่น สวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ประกันสังคม ประกันผู้ประสบภัยจากรถ ประกันภัยเอกชน รวมทั้งชาวต่างชาติที่เข้ามาประกอบอาชีพและท่องเที่ยว การใช้งบประมาณที่ได้จากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเพียงแหล่งเดียวเพื่อจ่ายค่าบริการดังกล่าวเมื่อผู้มีสิทธิอื่นดังกล่าวมาใช้บริการ จึงเป็น การเบียดเบียนผู้มีสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
3. เนื่องจากการบริหารจัดการ รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานและผู้ให้บริการยังมีจำนวนไม่เพียงพอ จึงสามารถให้บริการครอบคลุมพื้นที่ได้เพียงส่วนน้อยของประเทศ ไม่สามารถให้บริการแก่ผู้เจ็บป่วยฉุกเฉินที่จำเป็นได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ ทำให้ไม่สามารถใช้งบประมาณที่ได้รับจากระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าอุดหนุนค่าบริการการแพทย์ฉุกเฉินได้ตามที่วางแผนไว้ อย่างไรก็ตามหากมีการสร้างและพัฒนาผู้ให้บริการให้ครอบคลุมทั่วถึงและมีจำนวนเพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบริการประชาชนในเขตชนบทห่างไกลก็ทำให้มีความจำเป็นต้องพัฒนาระบบการเงินที่เหมาะสมและเป็นธรรมเพื่อเฉลี่ยทุกข์สุขจากแหล่งต่าง ๆ เช่น ประกันผู้ประสบภัยจากรถสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการกองทุนประกันสังคมเพื่อสนับสนุนให้มีบริการการแพทย์ฉุกเฉินเกิดขึ้นอย่างเพียงพอต่อการให้บริการที่จำเป็น รวมทั้งระบบเงินสมทบเพื่อพัฒนาและสนับสนุนระบบบริการทางการแพทย์ฉุกเฉิน ระบบโครงสร้างพื้นฐานและหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินทุกระดับ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) (รักษาการนายกรัฐมนตรี) วันที่ 21 มีนาคม 2549--จบ--