กลยุทธ์การพัฒนาพลังงานภายใต้แผนฯ ฉบับที่ 7
นอกเหนือจากการพัฒนาแหล่งพลังงานเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้เสมอภาคเท่าเทียมกันในทุกพื้นที่ของประเทศแล้ว แผนฯ ฉบับที่ 7 ของเวียดนามยังกำหนดกลยุทธ์เพื่อพัฒนาพลังงานในด้านอื่นๆ ที่น่าสนใจ ดังนี้
- การพัฒนาเครือข่ายสายส่งกระแสไฟฟ้า รัฐบาลเวียดนามมุ่งเน้นการลงทุนขยายเครือข่ายสายส่งกระแสไฟฟ้า เพื่อให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาพลังงานทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ เพิ่มความเชื่อมั่นว่าจะมีพลังงานเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการใช้ภายในประเทศ ลดปริมาณการสูญเสียกระแสไฟฟ้าระหว่างการส่ง และรักษาเสถียรภาพของการส่งกระแสไฟฟ้าในทุกสภาพภูมิอากาศ อีกทั้งยังมีแผนจะพัฒนาระบบไฟฟ้าให้มีความมั่นคงในระดับ N-1 (หมายถึง ระบบยังสามารถส่งกระแสไฟฟ้าได้ แม้ว่าอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น สายส่งกระแสไฟฟ้า หรือเครื่องกำเนิดไฟฟ้าใช้งานไม่ได้ 1 ตัว) และสร้างเครือข่ายสายส่งกระแสไฟฟ้าในช่วงเวลาต่างๆ ดังนี้
ที่มา : Decision No. 1208/QD-TTg, “Approval of the National Master Plan for Power Development for the 2011-2020 Period with the Vision to 2030”, The Socialist Republic of Vietnam
นอกจากนี้ รัฐบาลเวียดนามจะทำการวิจัยเพื่อพัฒนาเครือข่ายสายส่งกระแสไฟฟ้าให้มีระดับแรงดันไฟฟ้าสูงสุดเพิ่มขึ้นจาก 500 kV ในปัจจุบัน เป็น 750 kV และ 1,000 kV ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป
- การเชื่อมโยงเครือข่ายสายส่งกระแสไฟฟ้าภายในภูมิภาค รัฐบาลเวียดนามจะเริ่มดำเนินโครงการความร่วมมือเพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายสายส่งกระแสไฟฟ้า รวมทั้งสร้างความมั่นคงด้านพลังงานด้วยการพึ่งพาประเทศในภูมิภาคอาเซียนและอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ดังนี้
สปป.ลาว เชื่อมโยงเครือข่ายสายส่งกระแสไฟฟ้าขนาด 220 kV และ 500 kV จากทางตอนเหนือของ สปป.ลาว มายังจังหวัด Thanh Hoa จังหวัด Ninh Binh และจังหวัด Son La ของเวียดนาม รวมทั้งเชื่อมโยงเครือข่ายสายส่งกระแสไฟฟ้าขนาดเดียวกันจากทางตอนกลางและตอนล่างของ สปป.ลาว มายังจังหวัด Quang Nam และจังหวัด Gia Lai ของเวียดนาม
กัมพูชา เชื่อมโยงการค้ากระแสไฟฟ้าที่ระดับแรงดัน 220 kV และ 500 kV กับกัมพูชา
จีน นำเข้ากระแสไฟฟ้าที่ระดับแรงดัน 110 kV และ 220kV จากจีนอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งทำการวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับการนำเข้ากระแสไฟฟ้าที่ระดับแรงดัน 500 kV และไฟฟ้ากระแสตรง (DC Voltage)
- การนำกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ครัวเรือนในชนบทและพื้นที่ห่างไกล นอกจากพัฒนาการผลิตกระแสไฟฟ้าและเครือข่ายสายส่งกระแสไฟฟ้าให้ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศแล้ว รัฐบาลเวียดนามยังให้ความสำคัญกับการเข้าถึงกระแสไฟฟ้าของครัวเรือนในชนบทและพื้นที่ห่างไกล เช่น บริเวณภูเขาและเกาะ เนื่องจากเล็งเห็นถึงบทบาทของครัวเรือนเหล่านี้ในการขับเคลื่อนภาคเกษตรกรรมและวิสาหกิจชุมชน ซึ่งมีส่วนช่วยเกื้อหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจเวียดนามได้ในระดับหนึ่ง ทั้งนี้ รัฐบาลเวียดนามตั้งเป้าหมายให้ร้อยละ 98.6 ของครัวเรือนในชนบทและพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงกระแสไฟฟ้าได้ภายในปี 2558 และครัวเรือนดังกล่าวทั้งหมดสามารถเข้าถึงกระแสไฟฟ้าได้ภายในปี 2563 เทียบกับที่เข้าถึงกระแสไฟฟ้าร้อยละ 93 ในปี 2554
เพื่อให้แผนพัฒนาพลังงานแห่งชาติฉบับที่ 7 ของเวียดนามสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ตามกลยุทธ์ที่กล่าวมา รัฐบาลเวียดนามประมาณการว่าจะต้องใช้เงินลงทุนราว 48.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจนถึงปี 2563 ซึ่งราว 2 ใน 3 ของเงินจำนวนนี้จะใช้ในการพัฒนาการผลิตกระแสไฟฟ้าและส่วนที่เหลือจะใช้ในการพัฒนาเครือข่ายสายส่งกระแสไฟฟ้า นอกจากนี้ รัฐบาลเวียดนามคาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนอีกราว 75 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงระหว่างปี 2564-2573 ซึ่งเงินจำนวนนี้จะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนเช่นเดียวกัน โดยร้อยละ 65.5 จะใช้ในการพัฒนาการผลิตกระแสไฟฟ้าและส่วนที่เหลือจะใช้ในการพัฒนาเครือข่ายสายส่งกระแสไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการระบุแหล่งที่มาของเงินทุนอย่างชัดเจน แต่คาดว่าส่วนใหญ่จะมาจากการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลเวียดนามพยายามดึงดูดด้วยการผ่อนคลายกฎระเบียบการลงทุนของต่างชาติในธุรกิจพลังงาน เช่น เพิ่มความหลากหลายของรูปแบบการลงทุน ลดการผูกขาดการลงทุนในธุรกิจพลังงานบางสาขา ลดต้นทุนในการระดมทุนสำหรับโครงการลงทุนด้านพลังงาน และทยอยปรับเพิ่มค่ากระแสไฟฟ้าเป็น 8-9 เซ็นต์ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงภายในปี 2563 จากค่ากระแสไฟฟ้าในช่วงต้นปี 2554 ที่ 5.8 เซ็นต์ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง เพื่อให้นักลงทุนต่างชาติได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า
ทั้งนี้ หากรัฐบาลเวียดนามสามารถดำเนินการตามแผนฯ ฉบับที่ 7 ได้ คาดว่าจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้แก่เวียดนามในฐานะแหล่งดึงดูดการลงทุนที่สำคัญแห่งหนึ่งของเอเชีย โดยเฉพาะด้านระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานเพื่อรองรับการลงทุนที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันแผนดังกล่าวยังเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติรวมทั้งนักลงทุนไทยเข้าไปเจาะตลาดธุรกิจพลังงานซึ่งยังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมากในเวียดนาม
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย มกราคม 2555--