เกร็ดการเงินระหว่างประเทศ: การลงทุนจากต่างชาติในไมโครไฟแนนซ์กัมพูชา...แรงส่งการเปลี่ยนแปลงในหลายมิติ

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday December 27, 2018 14:56 —ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า

ไมโครไฟแนนซ์ (Microfinance) เป็นกลไกสำคัญของภาคการเงินกัมพูชาในการสนับสนุนสินเชื่อแก่ชาวกัมพูชา โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกโดยกลุ่ม NGOs และผู้บริจาคต่างชาติเมื่อปี 2536 หลังสิ้นสุดสงครามกลางเมือง มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูสังคมและช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย หลังจากนั้นธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ได้เติบโตในเชิงพาณิชย์อย่างต่อเนื่องภายใต้การส่งเสริมของรัฐบาลกัมพูชาที่ต้องการขยายสินเชื่อแก่ประชาชนในพื้นที่ห่างไกล และได้ประโยชน์จากการที่บริการทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ยังเข้าไม่ทั่วถึงประชาชนในพื้นที่ชนบท ทั้งนี้ ในปี 2560 ยอดการปล่อยสินเชื่อของไมโครไฟแนนซ์อยู่ที่ราว 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 1 ใน 4 ของยอดปล่อยสินเชื่อโดยธนาคารพาณิชย์ ขยายตัวเฉลี่ยกว่า 20% ต่อปีในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันกัมพูชามีจำนวนไมโครไฟแนนซ์ทั้งสิ้น 68 ราย แบ่งเป็นไมโครไฟแนนซ์ที่มีใบอนุญาตรับเงินฝาก 8 ราย ส่วนที่เหลืออีก 60 ราย ให้บริการสินเชื่อได้เพียงอย่างเดียว และไมโครไฟแนนซ์รายใหญ่ที่สุด 5 ราย ครองส่วนแบ่งตลาดรวมกันกว่า 80% โดยการปล่อยสินเชื่อไมโครไฟแนนซ์ในภาคครัวเรือนมีสัดส่วนมากที่สุด คือ 33% ของการปล่อยสินเชื่อไมโครไฟแนนซ์ทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ ภาคเกษตรกรรม 30% และภาคการค้าปลีก 19% ขณะที่ข้อมูลของธนาคารกลางกัมพูชาระบุว่าชาวกัมพูชากว่า 1.7 ล้านคน หรือราว 1 ใน 10 ของประชากรทั้งประเทศ ใช้บริการสินเชื่อจากไมโครไฟแนนซ์ สะท้อนให้เห็นว่าไมโครไฟแนนซ์เป็นกลไกสำคัญของภาคการเงินกัมพูชาที่ทำให้ประชาชนและภาคธุรกิจในพื้นที่ชนบทเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น สอดคล้องกับอันดับด้านการได้รับสินเชื่อ (Getting Credit) ในรายงาน Ease of Doing Business 2019 ของธนาคารโลก ซึ่งกัมพูชาอยู่อันดับ 22 จากการจัดอันดับทั้งหมด 190 ประเทศ ทิ้งห่างประเทศอาเซียนใหม่ทั้งเวียดนาม (ลำดับที่ 32) สปป.ลาว (ลำดับที่ 73) และเมียนมา (ลำดับที่ 178)

แรงกดดันจากการเพิ่มทุน…เปิดทางการลงทุนต่างชาติในธุรกิจไมโครไฟแนนซ์กัมพูชา

เป็นที่น่าสังเกตว่าในช่วงกว่า 2 ปีที่ผ่านมา เกิดกระแสการลงทุนจากสถาบันการเงินต่างชาติในธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ของกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง หลังจากธนาคารกลางกัมพูชาประกาศใช้ Prakas On Minimum Registered Capital Of Banking And Financial Institutions เมื่อเดือนมีนาคม 2559 ซึ่งมีการปรับเพิ่มทุนจดทะเบียนขั้นต่ำในธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ของกัมพูชา ดังนี้ 1) ไมโครไฟแนนซ์ที่มีใบอนุญาตรับเงินฝากต้องมีทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นจาก 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 2) ไมโครไฟแนนซ์ที่ไม่มีใบอนุญาตรับเงินฝากต้องมีทุนจดทะเบียนขั้นต่ำเพิ่มขึ้นจาก 62,500 ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยต้องเพิ่มทุนให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี นับจากวันที่ประกาศ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านเงินทุนของธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาภาคการเงินระยะ 10 ปี (Financial Sector Development Strategy 2016-2025) ซึ่งการกำหนดให้ไมโครไฟแนนซ์ต้องเพิ่มทุนจำนวนมากนับเป็นแรงกดดันสำคัญที่ทำให้ไมโครไฟแนนซ์ต้องเร่งหาพันธมิตรทางธุรกิจ โดยเฉพาะสถาบันการเงินจากต่างชาติเพื่อเป็นแหล่งเงินทุน

กระแสการลงทุนต่างชาติในไมโครไฟแนนซ์…ส่งผลดีในหลายมิติ

กระแสการลงทุนจากสถาบันการเงินต่างชาติในธุรกิจไมโครไฟแนนซ์เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดการแข่งขันในภาคการเงินการธนาคารของกัมพูชาและมีแนวโน้มก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายมิติ ดังนี้

  • มิติการให้บริการ การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นทำให้ไมโครไฟแนนซ์ต้องเสนอการให้บริการที่หลากหลายมากขึ้นจากเดิมที่ให้บริการเฉพาะด้านสินเชื่อเป็นหลัก อาทิ บริการอบรมบ่มเพาะและพัฒนาธุรกิจ (Incubator) แก่ผู้ประกอบการรายย่อย ตลอดจนการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในการให้บริการด้านการเงินผ่านแอพพลิเคชั่นและแพลตฟอร์มทางการเงินใหม่ๆ โดยเฉพาะระบบ e-payment ที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของกลุ่มลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งช่วยลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจจากการให้ลูกค้าหันมาใช้ช่องทางบริการออนไลน์มากขึ้น
  • มิติภาคการเงินการธนาคาร การแข่งขันที่สูงขึ้นผลักดันให้เกิดการพัฒนาประสิทธิภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการเงินการธนาคารในกัมพูชา ขณะที่การลงทุนของสถาบันการเงินต่างชาติ ซึ่งมีความแข็งแกร่งด้านเงินทุนและประสบการณ์จะยิ่งช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพให้กับธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ในกัมพูชา
  • มิติเศรษฐกิจ การที่ไมโครไฟแนนซ์มีความสามารถในการให้บริการที่ดีขึ้นและขยายการให้สินเชื่อได้เพิ่มขึ้นนั้น นอกจากส่งผลดีต่อภาคการเงินการธนาคารแล้ว ยังมีส่วนช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคของภาคครัวเรือนชาวกัมพูชาอีกด้วย (สัดส่วนราว 80% ของ GDP) ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจกัมพูชาให้เติบโตในระดับสูงกว่า 6% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า

การเปลี่ยนแปลงในธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ส่งผลดีในหลายมิติดังที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจในกัมพูชาควรใช้จังหวะในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้สอดรับกับโอกาสทางธุรกิจ อาทิ การพัฒนาระบบ e-payment ที่จะมีส่วนช่วยทำให้โลกออนไลน์ของชาวกัมพูชาขยายตัวและกลายเป็นช่องทางการตลาดที่น่าสนใจเพราะสามารถเชื่อมต่อผู้ขายเข้ากับผู้ซื้อในทุกพื้นที่ทั้งในเมืองและพื้นที่ห่างไกล เมื่อประกอบกับการเติบโตของสินเชื่อ โดยเฉพาะในภาคชนบท ช่วยกระตุ้นการจับจ่ายสินค้าให้เติบโตตาม โดยเฉพาะสินค้าประเภทรถจักรยานยนต์ ซึ่งชาวกัมพูชาในชนบทนิยมใช้สัญจรไปมา ตลอดจนสินค้าเครื่องจักรกลการเกษตรและอุปกรณ์การเกษตร อาทิ รถไถนาเดินตาม รถเกี่ยวข้าว และเครื่องสีข้าว เป็นต้น ก็ถือเป็นโอกาสในการขยายตลาดสินค้าดังกล่าวของไทยในกัมพูชา

Disclaimer : ข้อมูลต่างๆ ที่ปรากฏ เป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด

ที่มา: ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เดือนธันวาคม 2561


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ