ส่องเทรนด์โลก: ธุรกิจเวียดนาม Go Green...Golden Opportunity ของผู้ประกอบการไทย

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday June 10, 2022 14:16 —ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า

เวียดนามเป็นประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตรวดเร็วลำดับต้นๆ ของโลกในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และมีอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่าปีละ 5% ติดต่อกันตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี โดยภาคการผลิตของเวียดนามที่ขยายตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้เวียดนามมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นสูงเป็นอันดับ 6 ของโลก (เฉลี่ยปีละ 5.95% ในระหว่างปี 2502-2562) เป็นประเทศที่มีมลพิษทางอากาศ (PM 2.5) สูงเป็นอันดับ 3 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (รองจากอินโดนีเซีย และเมียนมา) และสร้างมลพิษทางทะเลจากขยะพลาสติกเป็นอันดับ 4 ของโลก การที่เวียดนามประกาศเจตนารมณ์สู่เส้นทางสาย Green ด้วยการตั้งเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี 2593 จึงนับเป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเวียดนามตระหนักดีว่าหากปล่อยให้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศดำเนินต่อไปโดยไม่ได้รับการแก้ไขจะทำให้เสน่ห์ดึงดูดการลงทุนของเวียดนามลดลง และจะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต ทั้งนี้ มาตรการและข้อบังคับด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งรัฐบาลเวียดนามประกาศเป้าหมายในช่วงที่ผ่านมา อาทิ ห้ามหรือจำกัดการใช้รถจักรยานยนต์ในบางพื้นที่หลังปี 2573 หรือเร็วกว่านั้นปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ และปรับลดกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนจากถ่านหินและเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ประเทศสามารถบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emission ได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน

นอกจากภาครัฐแล้ว ปัจจุบันภาคธุรกิจในเวียดนามก็เริ่มปรับตัวสู่เส้นทางสาย Green เช่นกัน เพื่อรับมือกับการที่หลายประเทศต่างพยายามผนวกต้นทุนสิ่งแวดล้อมเข้าเป็นส่วนหนึ่งในกลไกตลาดซื้อขายทั่วไป อาทิ เก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มจากสินค้าที่มีการทำลายสิ่งแวดล้อม โดยการเรียกเก็บภาษีนำเข้าหรือเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้าที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระดับสูง อีกทั้งผู้บริโภคในยุคปัจจุบันมีจำนวนไม่น้อยที่นำประเด็นสิ่งแวดล้อมมาใช้ประกอบการตัดสินใจเลือกสินค้าหรือแบรนด์ที่จะสนับสนุน การปรับตัวของภาคธุรกิจในเวียดนามจึงมีให้เห็นแล้วในหลายธุรกิจไม่ว่าจะเป็นธุรกิจที่เวียดนามเป็นฐานการผลิตสำคัญของโลก หรือธุรกิจที่เวียดนามมีแบรนด์ของตนเอง อาทิ

อุตสาหกรรมเสื้อผ้า ... เปลี่ยนจากการผลิต ?เสื้อร้ายต่อโลก? สู่ ?เสื้อรักษ์โลก?

สมาคมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มเวียดนาม (Vietnam Textile and Apparel Association : VITAS) ตั้งเป้าว่าในปี 2573 เวียดนามจะเป็นตัวเลือกลำดับต้น ๆ สำหรับผู้ซื้อที่ต้องการสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มแบบยั่งยืน

อุตสาหกรรมเสื้อผ้าในเวียดนาม ซึ่งเป็นฐานการผลิตเสื้อผ้าของแบรนด์ชั้นนำระดับโลก อาทิ Nike, Adidas, Zara และ Uniqlo จำเป็นต้องเร่งปรับตัวสู่กระแสสีเขียว เนื่องจาก

  • อุตสาหกรรมเสื้อผ้าสร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก จึงเป็นสินค้าเป้าหมายที่กลุ่มผู้บริโภคเรียกร้องให้ทั้งเจ้าของแบรนด์และทุก Supplier ของแบรนด์เร่งปรับกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะจะมีส่วนอย่างมากในการช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม
  • มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของบางประเทศใน EU ซึ่งเป็นตลาดส่งออกเสื้อผ้าสำคัญของเวียดนาม กำหนดให้ผู้ประกอบการต้องมีกระบวนการตรวจสอบ Supplier ของตนเองตลอดห่วงโซ่การผลิตอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการทำลายสิ่งแวดล้อม จึงเป็นอีกแรงผลักให้ Supplier ในเวียดนามต้องเร่งปรับตัว เพื่อให้เป็นผู้ที่ถูกเลือก หากแบรนด์เสื้อผ้าชั้นนำใช้วิธีลดจำนวน Supplier ให้เหลือเพียงไม่กี่รายเพื่อให้สะดวกในการติดตาม

ล่าสุดสมาคมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มเวียดนามรายงานว่า แบรนด์เครื่องแต่งกายรายใหญ่ในสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และ EU ต่างเพิ่มคำสั่งซื้อเสื้อผ้าหรือทำสัญญาระยะยาวกับ Supplier ในเวียดนามที่มีผลิตภัณฑ์หรือมีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น ลดการใช้น้ำ เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน และใช้วัสดุรีไซเคิล รวมถึงมีแนวโน้มจะทยอยยกเลิกการสั่งซื้อสินค้าจาก Supplier ที่ไม่ปรับปรุงกระบวนการผลิต เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันบางแบรนด์เสื้อผ้าได้เข้ามาช่วย Supplier ในการปรับเปลี่ยนไปสู่การผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อาทิ Decathlon ผู้ผลิตเสื้อและอุปกรณ์กีฬาจากฝรั่งเศส ร่วมมือกับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมนี (GIZ) สนับสนุน Supplier ของ Decathlon ในการเปลี่ยนการใช้พลังงานจากถ่านหินเป็นชีวมวล พร้อมให้คำปรึกษาแนวทางการลดปัญหาสิ่งแวดล้อม และเปิดอบรมผ่าน E-learning เรื่องการใช้สารเคมีอย่างมีประสิทธิภาพ

อุตสาหกรรมยานยนต์ ? จาก ?พลังงานฟอสซิล? สู่ ?พลังงานสีเขียว?

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีผู้ประกอบการเวียดนามเริ่มเข้ามาลงทุนผลิตยานพาหนะพลังงานสีเขียว รวมถึงสถานีชาร์จ และแบตเตอรี่ อาทิ PEGA, Dat Bike และ VinFast เนื่องจาก

  • ทางการเวียดนามมีแผนจะห้ามขับขี่รถจักรยานยนต์ในบางพื้นที่ของเมืองสำคัญหลังจากปี 2573 และสำหรับฮานอยอาจเลื่อนให้เร็วขึ้นเป็นปี 2568 เพราะรถจักรยานยนต์ใช้น้ำมัน ซึ่งมีผู้ใช้ในประเทศอยู่ถึงกว่า 40 ล้านคัน เป็นต้นเหตุสำคัญของปัญหามลพิษทางอากาศ (PM 2.5) โดยอาจมีมาตรการผ่อนปรนเฉพาะรถจักรยานยนต์ที่ได้มาตรฐานสิ่งแวดล้อม จึงคาดว่าความต้องการเปลี่ยนไปใช้ยานพาหนะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น รถยนต์ไฟฟ้า รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า และรถจักรยานไฟฟ้า จะมีเพิ่มขึ้น
  • ชาวเวียดนามมีรายได้เพิ่มขึ้นตามเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่อเนื่อง โดย EIU ประเมินว่า จำนวนครัวเรือนในเวียดนามที่มีรายได้มากกว่าปีละ 35,000 ดอลลาร์สหรัฐ จะเพิ่มขึ้นเป็นราว 10 เท่าตัวในช่วงปี 2555-2569 และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จึงพร้อมที่จะเปลี่ยนจากรถจักรยานยนต์ที่นิยมใช้ในปัจจุบันไปใช้รถยนต์ที่มีราคาแพงขึ้น และสามารถโดยสารได้พร้อมกันทั้งครอบครัว และล่าสุดเมื่อต้นปี 2565 ภาครัฐมีมาตรการสนับสนุนให้เปลี่ยนไปใช้ยานพาหนะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อาทิ ยกเว้นค่าจดทะเบียนครั้งแรกสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ จะยิ่งกระตุ้นให้ชาวเวียดนามเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น

สำหรับผู้ประกอบการยานยนต์ของเวียดนามที่เคลื่อนไหวสู่เส้นทางสีเขียวอย่างโดดเด่นในขณะนี้ คือ VinFast ค่ายรถยนต์จากเครือธุรกิจรายใหญ่ในเวียดนามอย่าง VinGroup ซึ่งนับได้ว่าเป็นบริษัทยานยนต์รายแรกๆ ของโลกที่หันไปผลิตรถยนต์ระบบไฟฟ้าเต็มรูปแบบ โดยบริษัทฯ ประกาศมุ่งเน้นไปที่ยานยนต์ไฟฟ้าเต็มตัว และจะหยุดผลิตรถยนต์ใช้น้ำมันภายในสิ้นปี 2565 นอกจากนี้ ยังได้เข้าไปลงทุนสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ในสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จกลางปี 2567 โดยมีกำลังการผลิตปีละ 150,000 คัน และอยู่ระหว่างพิจารณาแผนก่อสร้างโรงงานในเยอรมนี

ปัจจุบันไทยเป็นแหล่งนำเข้ารถยนต์และส่วนประกอบอันดับ 1 ของเวียดนาม การที่ธุรกิจยานยนต์ในเวียดนามเริ่มขยับสู่เส้นทางสาย Green อาจทำให้เวียดนามค่อย ๆ ลดการนำเข้ารถยนต์ใช้น้ำมันจากไทยลง แต่ขณะเดียวกันก็สร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุนอีกมากให้ผู้ประกอบการไทย อาทิ

ปริมาณจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าของเวียดนามจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 11.1% (CAGR) ในช่วงปี 2563-2568 (ข้อมูลจาก 6Wresearch)

นอกจากภาครัฐ และภาคธุรกิจในอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและอุตสาหกรรมยานยนต์ที่กำลัง Go Green แล้ว ยังมีอีกหลายธุรกิจในเวียดนามที่กำลังเดินไปในเส้นทางนี้ เช่น ธุรกิจท่องเที่ยวที่มีแผนจะพัฒนาไปสู่การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ (Eco-Tourism) มากขึ้นเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน และอุตสาหกรรมเกษตรที่วางยุทธศาสตร์การพัฒนาเป็นเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และในปี 2593 จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคเกษตรลง 10% จากระดับปี 2563 รวมถึงกลุ่มผู้บริโภคเวียดนามก็มีแนวโน้มจะ Go Green และพร้อมสนับสนุนสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทั้งนี้ จากผลสำรวจของ Euromonitor พบว่า 39%ของผู้ตอบแบบสอบถามจะซื้อสินค้าที่ผลิตอย่างยั่งยืน (ทั่วโลก 32%) และ 20% สนใจจองทริปท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในช่วงวันหยุด(ทั่วโลก 8%) ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยที่เล็งเห็นโอกาสและพร้อมจะปรับสินค้า/บริการให้เข้ากับเทรนด์ดังกล่าวยังมีโอกาสทองอีกมากจากการที่เวียดนาม Go Green

Disclaimer : ข้อมูลต่าง ๆ ที่ปรากฏ เป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น โดย EXIM BANK จะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด

ที่มา: ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เดือนพฤษภาคม 2565


แท็ก เวียดนาม   OPPO  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ