ความสัมพันธ์จีน - เยอรมันคืบหน้าในงาน Hannover Fair

ข่าวเศรษฐกิจ Friday April 27, 2012 11:37 —กรมส่งเสริมการส่งออก

ความสัมพันธ์จีน - เยอรมันคืบหน้าในงาน Hannover Fair

***********************************

เมื่อวันที่23 เมษายน 2555 นายกรัฐมนตรีของประเทศจีน (Mr. Wen Jiabao) ได้เข้าพบคารวะนายกรัฐมนตรีของประเทศเยอรมนี (Mrs. Angela Merkel) ที่งานแสดงสินค้า Hannover Fair 2012 ในฐานะที่ประเทศจีนเป็นประเทศ Guest of Honour ของงานในครั้งนี้ โดยงานแสดงสินค้า Hannover Fair เป็นการจัดแสดงสินค้าเกี่ยวเครื่องจักรกลเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-27 เมษายน 2555 ณ เมือง Hannover ประเทศเยอรมนี สำหรับงานในปีนี้มีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 5 พันราย จาก 69 ประเทศ และเน้นให้ความสำคัญในเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมและได้จัดหัวข้อพิเศษภายในงาน เรื่องืGreen Intelligence" ไว้อีกด้วย

ในการเข้าพบหารือในครั้งนี้ รัฐบาลจีนได้เข้าพบเจรจาด้านการค้าและเศรษฐกิจกับทางรัฐบาลเยอรมัน ซึ่งถือว่าเป็นการจับมือทางด้านการค้าและเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ 2 อันดับแรกของโลก และคาดว่าจะมีโครงการความร่วมมือทางด้านการค้าและการลงทุนจากทั้ง 2 ประเทศในอนาคตอย่างต่อเนื่องต่อไปสำหรับในปี 2554 ที่ผ่านมา มูลค่าการค้าและการลงทุนระหว่างทั้งสองประเทศรวมทั้งสิ้นประมาณ 144,000 ล้าน

ยูโร ซึ่งนายกรัฐมนตรีเยอรมัน ให้ข่าวว่าทางรัฐบาลจะให้การสนับสนุนโครงการความร่วมมือกับประเทศจีนอย่างดี ในอนาคต แต่รัฐบาลเยอรมันจะต้องเรียนรู้โครงสร้างและระบบเศรษฐกิจของประเทศจีนให้ดีมากยิ่งขึ้น

นายกรัฐมนตรีของจีนได้ประกาศว่าประเทศเยอรมนีเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญของจีน ซึ่งทางรัฐบาลจีนยินดีจะให้การสนับสนุนโครงการระหว่าง 2 ประเทศเป็นอย่างดีและคาดว่าจะมีการร่วมมือทางการค้าและการลงทุนในอนาคตเพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยหลังจากการเยือนงานแสดงสินค้า Hannover Fair นี้แล้ว นายกรัฐมนตรีของจีนมีกำหนดเดินทางไปประเทศ ไอซ์แลนด์ สวีเดนและโปแลนด์ต่อไป

ในขณะเดียวกัน สมาคมเครื่องจักรกลของเยอรมัน(VDMA - Verbands Deutscher Maschinen- und Anlagenbau) ได้แถลงข่าวในงานแสดงสินค้า Hannover Fair ว่า การเข้าร่วมงานของผู้ประกอบการจากประเทศจีนในครั้งนี้ จัดเป็นการเข้าร่วมงานด้านเครื่องจักรกลและเทคโนโลยีในต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของจีนและจัดให้ประเทศจีนเป็นประเทศ Trading Partner และ Business Competitor ที่สำคัญที่สุดของประเทศเยอรมนี

นอกจากนี้ บริษัทผู้ผลิตยานยนต์ชั้นนำของประเทศเยอรมนี บริษัท Volkswagen ยังประกาศเรื่องความร่วมมือและการลงทุนระหว่างบริษัท Volkswagen กับบริษัทในประเทศจีน โดยทางบริษัท Volkswagen จะเพิ่มการลงทุนร่วมกับบริษัท Shanghai Automotive (SAIC) มีมูลค่าจำนวนทั้งสิ้น 14,000 ล้านยูโร ในช่วงระยะเวลา 4 ปีในอนาคต ซึ่งบริษัทจะสามารถผลิตรถยนต์ Volkswagen ในประเทศจีน ได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 50,000 คันต่อปี โดยในปัจจุบันรถยนต์ยี่ห้อ Volkswagen มียอดขายประมาณร้อยละ 27 ของยอดขายรถยนต์ ในประเทศจีนทั้งหมด

ถึงแม้ว่า รัฐบาลเยอรมันจะวางแผนโครงการความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศจีนเป็นอย่างดี แต่ภายในงาน Hannover Fair ได้มีกลุ่มผู้ประท้วงจำนวนหนึ่งได้เดินขบวนเพื่อเรียกร้องผู้นำจีนในเรื่องเขตปกครอง ธิเบตและเรื่องสิทธิมนุษยธรรมรวมถึงการสังหารหมู่ชาวมุสลิมในปี 2552 ที่มีประชาชนเสียชีวิตมากกว่า 200 คน

อย่างไรก็ตาม ประเทศจีนยังคงเป็นประเทศคู่ค้าและคู่แข่งที่สำคัญมากของประเทศเยอรมนี โดยปัจจุบัน ประเทศจีนได้ให้ความสนใจเรื่องการพัฒนาสินค้าและรักษาสิ่งแวดล้อมตามมาตรการของสหภาพยุโรปแล้ว

นโยบายเพื่อการรักษาสิ่งแวดล้อมของสหภาพยุโรป

นโยบายหลักของประเทศเยอรมนีเป็นไปตามกรอบนโยบายของสหภาพยุโรป สำหรับในด้านของการรักษาสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืนสหภาพยุโรปได้ออกกรอบนโยบายในด้านต่างๆ เพื่อให้ประเทศสมาชิกปฏิบัติตาม จำแนกได้ดังนี้

1. นโยบาย Eco-design กำกับควบคุมผลิตภัณฑ์ทุกประเภทที่ต้องใช้พลังงาน (energy related products) ให้เน้นการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยการกำหนดค่ามาตรฐานด้านประสิทธิภาพขั้นสูงสุดและต่ำสุดของสินค้า วัตถุประสงค์หลักในการออกนโยบายดังกล่าวของสหภาพยุโรปเป็นไปเพื่อให้กฎระเบียบของประเทศสมาชิกแต่ละประเทศเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และเป็นการกำจัดสินค้าด้อยประสิทธิภาพออกจากสหภาพยุโรปเพื่อประโยชน์ของผู้บริโภคและกิจการต่างๆ กล่าวได้ว่า Eco-design จัดเป็นกรอบพื้นฐานของมาตรการที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอื่นๆ

สินค้าที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ *Energy using products (EUPs) ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่ผลิต ถ่ายโอน หรือตรวจวัดพลังงานทุกประเภท (ไฟฟ้า แก๊ส พลังงานถ่านหิน) เช่น เครื่องต้มคอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ พัดลมอุตสาหกรรม หม้อแปลง เป็นต้น *Other energy related products (ERPs) ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ใช้พลังงานโดยตรงแต่ส่งผลกระทบต่อพลังงานและสามารถประหยัดพลังงานได้ เช่น หน้าต่าง ฝ้า/ฉนวน ท่อน้ำ ฝักบัว เป็นต้น

แนวความคิดสำคัญของรัฐบาลเยอรมัน เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และการรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นไปตามหลักการ Top Runner ซึ่งมีต้นกำเนิดในประเทศญี่ปุ่น โดยใช้สินค้าที่ดีที่สุดในท้องตลาดเป็นบรรทัดฐานของสินค้าอื่นๆในประเภทเดียวกัน สินค้าที่ด้อยกว่ามาตรฐานต้องปรับปรุงคุณภาพให้อยู่ในเกณฑ์บรรทัดฐานภายในระยะเวลาที่กำหนด มิฉะนั้นจะไม่สามารถออกวางจำหน่ายได้อีกต่อไป หลักการ Top Runner ถือเป็นกลไกสำคัญที่จะทำให้สินค้าที่มีคุณภาพและประหยัดพลังงานมากที่สุดสามารถเจาะตลาดได้รวดเร็วที่สุด หน่วยงานผู้รับผิดชอบหลัก ได้แก่ กระทรวงสิ่งแวดล้อม การรักษาธรรมชาติและความปลอดภัยด้านกัมมันตรังสี

มาตรการสำคัญที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

1.1 มาตรฐานขั้นต่ำด้านประสิทธิภาพตามนโยบาย Eco-design ของสหภาพยุโรป กำหนดให้สินค้าต้องอยู่ในเกณฑ์ตามมาตรฐานจึงจะวางจำหน่ายได้ เน้นการส่งเสริมสินค้าที่มีคุณภาพสูงและประหยัดพลังงาน

1.2 ป้ายแสดงปริมาณการใช้พลังงาน ตามตามข้อบังคับของสหภาพยุโรป ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับพลังงานต้องติดป้ายแสดงปริมาณการใช้พลังงานและทรัพยากร ธรรมชาติ จุดประสงค์เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมสามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปเป็นประเด็นเปรียบเทียบก่อนตัดสินใจซื้อสินค้าใดๆ ก็ตาม นอกจากนั้นยังเป็นการกระตุ้นผู้ผลิตให้พัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเองตลอดเวลา ซึ่งจะส่งผลให้สินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมีประสิทธิภาพสูงสุดสามารถเจาะตลาดได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

1.3 หลักเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับการจัดซื้อ/จัดจ้างสิ่งก่อสร้างสาธารณะ เป็นมาตรการสำคัญอีกมาตรการหนึ่งของรัฐ กำหนดให้การจัดซื้อ/จัดจ้างของเยอรมนีและชุมชนต่างๆต้องคำนึงถึงหลักเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมและนวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นหลักสำคัญ เพื่อให้เป็นตัวอย่างที่ดีต่อผู้บริโภคทั่วไปนอกจากนี้การเพิ่มอุปทานในตลาดผ่านหน่วยงานต่างๆ ยังเป็นแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการ/ผู้ผลิต/ผู้วิจัยได้คิดค้นและพัฒนาสินค้าและบริการของตนให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

2. นโยบายด้านCSR นอกเหนือจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมของสินค้าและบริการแล้ว การให้ความสำคัญกับปัจจัยทางด้านสังคมก็เป็นอีกหนึ่งในวิธีการในการดำเนินการเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมของเยอรมัน โดยสนับสนุนให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคคำนึงถึงปัจจัยแวดล้อมและการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมในด้านต่างๆ เช่น สัญญาจ้างงาน สภาพแวดล้อมของที่ทำงาน การแข่งขันทางธุรกิจอย่างเป็นธรรม ผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและความสัมพันธ์ต่อบริษัทคู่ค้า เป็นต้น

มาตรการสำคัญที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

2.1 กฏหมายประกันสังคม กำหนดให้นายจ้างและลูกจ้างทำประกันสังคมที่ครอบคุมการรักษา พยาบาลยามเจ็บไข้ การป้องกัน ดูแลสุขภาพ ตลอดจนการประกันกรณีทุพลภาพจากการทำงานและการเกษียณ อายุการทำงาน

2.2 กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม 2.3 การส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรม ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้ด้อยโอกาส ไม่ใช้แรงงานเด็ก

3.นโยบายด้าน sustainable consumption and production (SCP) and sustainable industrial policy (SIP) เพื่อปรับปรุงการผลิตสินค้าและการบริการรวมทั้งปรับรูปแบบการบริโภคของประชาชนให้คำนึงถึงการใช้ทรัพยากรในการผลิตอย่างคุ้มค่า ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตจนถึงการย่อยสลาย รวมทั้งให้ประหยัดพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจมีผลทำให้มีการปรับปรุงกฎระเบียบด้านผลิตภัณฑ์รักษาสิ่งแวดล้อมและพลังงานและแนวทางที่มีอยู่แล้ว และอาจมีการเพิ่มเติมกฎระเบียบหรือแนวทางอื่นเพื่อกำกับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับสินค้าที่จำหน่ายภายในสหภาพยุโรป ซึ่งจะกระทบต่อมาตรฐานสินค้าที่มีการนำเข้าจากประเทศอื่นรวมทั้งประเทศไทยอย่างแน่นอน

4.นโยบายด้าน Eco-industries ซึ่งมีระเบียบที่สำคัญ ได้แก่ ระเบียบ WEEE, RoHS และ REACH ระเบียบ WEEE : ย่อมาจาก Waste from Electrical and Electronic Equipment เป็นระเบียบที่มุ่งให้ลดปริมาณการทิ้งเศษซากผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์พร้อมกับลดการใช้พลังงานในการทำลายขยะ โดยส่งเสริมให้มีการนำกลับมาใช้อีกครั้ง (reuse) ผ่านกระบวนการเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่(recycle) และการฟื้นฟูแบบอื่นๆ(recovery) ด้วยการกำหนดให้ผู้ผลิตปรับปรุงการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ พร้อมกับมีความรับผิดชอบร่วมกัน ในการกำจัดเศษซากผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและ อิเล็กทรอนิกส์ ระเบียบ WEEE นี้ได้รับการรับรองพร้อมกับระเบียบ RoHS และมีกำหนดบังคับใช้แล้วในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปซึ่งอาจส่งผลต่อผู้ประกอบการชาวไทยได้ ข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://news.thaieurope.net/content/view/1416/77/

ระเบียบ RoHS: ย่อมาจาก Restriction of Hazardous Substances Directive เป็นระเบียบที่มีจุดประสงค์เพื่อจำกัดการใช้สารเคมีอันตราย6 ชนิด ได้แก่ Lead, Mercury, Cadmium, Hexavalent

Chromium, Polybrominated biphenyls (PBB) และ Polybrominated diphenyl Ethers (PDBE) ประเภทในสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์สารเคมีดังกล่าวได้แก่ ข้อมูลรายละเอียดเรื่องRoHS เพิ่มเติมได้ที่ http://news.thaieurope.net/content/view/1482/0

ระเบียบ REACH: ย่อมาจาก Registration, Evaluation, Restriction and Authorisation of Chemicals คือระเบียบควบคุมให้มีการจดทะเบียนสารเคมีทุกชนิด ประเมินผล และให้อนุญาตการใช้สารเคมีสารเคมีอันตรายที่ผลิตหรือจำหน่ายภายในสหภาพยุโรป ร่างระเบียบนี้ก่อให้เกิดข้อโต้แย้งอย่างมากทั้งในสหภาพยุโรปและจากประเทศอื่นๆรวมถึงประเทศไทย เนื่องจากจะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อผู้ค้าผู้ผลิตสารเคมี รวมทั้งผู้ค้าสินค้าที่มีสารเคมีเป็นส่วนประกอบ (ซึ่งครอบคลุมถึงภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจจำนวนมาก) ที่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายและมีขั้นตอนดำเนินการเพิ่มขึ้นในการทดสอบ จดทะเบียนและประเมินผล ก่อนที่จะส่งสินค้ามาจำหน่ายในสหภาพยุโรปได้

5.นโยบายด้าน Climate change การเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ ประเทศสมาชิกได้มติในที่ประชุมสุดยอดเมื่อเดือนมีนาคม2550 โดยได้ตกลงเรื่องการลดระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้น้อยลงกว่าระดับในปี2533 ร้อยละ 20 ภายในปี 2555 ด้วยวิธีการต่างๆกัน เช่น การออกโครงการซื้อ-ขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ( European Union Greenhouse Gas Emission Trading Scheme หรือ EU ETS) ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคอุตสาหกรรมหนักด้วยการกำหนดปริมาณก๊าซที่แต่ละจุดจะสามารถปล่อยได้ (allowance) ปัจจุบัน สหภาพยุโรปกำลังขยายโครงการดังกล่าวไปในภาคการบิน อันจะส่งผลกระทบต่อทุกสายการบินซึ่งเดินทางมาไปสหภาพยุโรป รวมถึงสายการบินของไทยด้วย ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าขนส่งทางอากาศสูงขึ้น ทั้งนี้ ในโครงการ EU ETS หากจุดปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น โรงงานใดปล่อยก๊าซเกินกว่าได้ที่รับอนุญาตก็จะสามารถซื้อสิทธิจากแหล่งปล่อย ก๊าซอื่นหรือซื้อสิทธิจากโครงการClean Development Mechanism (CDM) ซึ่งเป็นโครงการที่มุ่งถ่ายทอดเทคโนโลยีการรักษาสภาวะอากาศและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในประเทศกำลังพัฒนาได้

สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์นั้น คณะกรรมาธิการสิ่งแวดล้อมสภายุโรป ได้ลงคะแนนเสียงรับรองร่างระเบียบลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในรถยนต์รุ่นใหม่ที่จำหน่ายในสหภาพยุโรป โดยเห็นชอบกับข้อเสนอที่กำหนดให้รถยนต์โดยสารรุ่นใหม่ที่จำหน่ายภายในยุโรป จะต้องปล่อยก๊าซ CO2 ไม่เกิน 120 g ต่อกิโลเมตรตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นไป และจะเก็บค่าปรับหากมีการปล่อยก๊าซเกินกำหนดไว้ในอัตรา 20 ยูโร ต่อกรัม ในปี 2555 และปรับมากถึง 95 ยูโรต่อกรัมในปี 2558 นอกจากนี้คณะกรรมาธิการยุโรปกำหนดจะเสนอร่างระเบียบที่ปล่อยก๊าซจากรถยนต์ในอัตราเฉลี่ยได้ไม่เกิน 95 กรัมต่อกิโลเมตร ภายในปี 2560

6. นโยบายด้าน Environmental management โดยจะให้ความสำคัญในเรื่องของธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ (nature and biodiversity) กล่าวคือ การรักษาธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพในยุโรปหรือชีวพันธุ์ (species) ต่างๆ ที่ยังมีอยู่ในยุโรป พร้อมกับหาทางไม่ให้ชีวพันธุ์ใหม่ๆ จากภูมิภาคอื่นเข้ามารุกราน โดยมีแผนยุทธศาสตร์ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Strategy) ระบุให้กฏระเบียบและนโยบายต่างๆ คำนึงถึงผลกระทบด้านความหลากหลายทางชีวภาพในยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ประมง ป่าไม้ การท่องเที่ยว การค้า การพัฒนา การสร้างธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการขุดเจาะเช่นเหมืองแร่ อย่างไรก็ตาม นโยบายในด้านนี้จะไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อประเทศที่สามที่ไม่มีพรมแดนติดกับสหภาพยุโรป เช่นประเทศไทย

เครื่องหมายรับรองที่เกี่ยวข้อง

1. "Blue Engel" เครื่องหมายรับรองสำหรับสินค้าและบริการอันแรกของโลกและเก่าแก่ที่สุดในโลก ริเริ่มในปี 2521 โดยกระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงสิ่งแวดล้อมฯของเยอรมนี ถือเป็นกลไกสำคัญสำหรับมาตรการเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลเยอรมัน ที่จะประชาสัมพันธ์และช่วยปลุกจิตสำนึกผู้บริโภคให้เห็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น โดยผู้ผลิตสินค้า (ที่ไม่ใช่สินค้าอาหาร) และผู้ให้บริการสามารถยื่นขอใช้ฉลากนี้ได้ตามความสมัครใจกับคณะกรรมการซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระ ประกอบด้วยสมาชิกกิตติมศักดิ์จากสมาคมสิ่งแวดล้อมและการคุ้มครองผู้บริโภค สมาพันธ์ กลุ่มอุตสาหกรรม สื่อโบสถ์ ชุมชนและตัวแทนจากรัฐบาลท้องถิ่น 2 รัฐหมุนเวียนกันไป เกณฑ์การพิจารณาครอบคลุมผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในองค์รวม ตั้งแต่การจัดหา/ใช้ทรัพยากรในการผลิตไปจนถึงการดูแลรักษา อายุการใช้งานและการทำลาย นอกจากนี้ยังรวมถึงเกณฑ์การแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมตามหลักการของ CSR อีกด้วย จุดมุ่งหมายสำคัญของเครื่องหมายดังกล่าวคือการส่งสารและข้อมูลในแง่ของการรักษาสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคมเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถใช้ข้อมูลดังกล่าวเป็นเกณฑ์เปรียบเทียบและเป็นแรงจูงใจในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสังคมมากกว่า กล่าวได้ว่าเครื่องหมายดังกล่าวเป็นที่รู้จักและยอมรับการอย่างแพร่ หลายมากขึ้นเรื่อยๆในเยอรมนี โดยปัจจุบันมีธุรกิจบริการกว่า 90 สาขาและสินค้าต่างๆ รวมกว่า 11,500 ชิ้นใช้เครื่องหมายนี้สำหรับในอนาคตอาจมีการแตกแขนงของเครื่องหมายเพื่อระบุเกณฑ์การพิจารณาให้ชัดเจนยิ่งขี้นได้แก่ การคุ้มครองสภาพภูมิอากาศ การรักษาทรัพยากรน้ำ การรักษาทรัพยากรธรรมชาติและการคุ้มครองสุขภาพของผู้บริโภค

2. "EU-Ecolabel" เครื่องหมายรับรองสำหรับสินค้าและบริการของสหภาพยุโรปเริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2535 โดยจำแนกสินค้าและบริการออกเป็น 24 ประเภท (สำหรับสินค้าอาหารกำลังอยู่ในช่วงทำการวิจัย) เป้าหมายสำคัญเพื่อรองรับและสนับสนุนการซื้อขายสินค้าและบริการภายในสหภาพยุโรปให้สะดวกยิ่งขึ้น โดยบริษัทที่มีธุรกิจภายในสหภาพยุโรปสามารถใช้ตรารับรองเพียงตราเดียวโดยไม่ต้องใช้เครื่องหมายของแต่ละประเทศอีกให้เป็นการซ้ำซ้อนเกณฑ์การพิจารณาเน้นการรับรองสินค้าและบริการซึ่งสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม(ตลอดอายุการใช้งาน)น้อยกว่าค่าเฉลี่ยโดยทั่วไปของสินค้าประเภทเดียวกันในท้องตลาด ได้มาตรฐานด้านความปลอดภัย รวมถึงมาตรฐาน CSR ต่างๆ ในปี 2552 สหภาพยุโรปได้ออกกฎเกี่ยวกับเครื่องหมายรับรองนี้ใหม่เพื่อให้ผู้ประกอบการขอใช้ได้ง่ายขึ้นและมีค่าธรรมเนียมถูกลงนอกจากนั้นยังได้ปรับกฎเกณฑ์ให้เข้ากับเครื่องหมายรับรองของแต่ละประเทศมากขึ้นอีกด้วยจากสถิติการสำรวจของสหภาพยุโรป เครื่องหมายนี้เป็นที่รู้จักในหมู่ผู้บริโภคมากขึ้นเรื่อยๆโดยในปี 2552 มีผู้บริโภครู้จักเครื่องหมายมากขึ้นกว่าปี 2549 ถึงร้อยละ 40

3. "Fairtrade" หรือสัญลักษณ์การค้าเพื่อความเป็นธรรมเป็นเครื่องหมายรับรองจากองค์กร FLO (Fairtrade Labelling Organisations International) โดยมีหลักเกณฑ์หลายประการ อาทิ การซื้อสินค้าโดยตรงในราคาที่สูงกว่าและเป็นธรรม การจัดสวัสดิการแก่พนักงานอย่างเหมาะสมตามหลักมนุษยธรรม การงดใช้แรงงานเด็ก ตลอดจนการช่วยเหลือพนักงานเกษตรกรในการพัฒนาการผลิต การจัดการและการจำหน่าย ปัจจุบันผู้บริโภคเยอรมันและยุโรปเริ่มให้ความสำคัญกับมาตรฐานนี้มากขึ้นเรื่อยๆทำให้ผู้ผลิตหลายรายหันมาปรับกลยุทธทางการตลาดด้วยการใช้เครื่องหมายรับรองFairtrade เพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้าของตน(value added)

4. มาตรฐาน SA8000 (Social Accountability 8000) เป็นระบบการจัดการที่เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านความรับผิดชอบทางสังคม ก่อตั้งโดยองค์กร Social Accountability International (SAI) ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนสำหรับลูกจ้างและคนทำงานทั่วโลก อย่างไรก็ตามหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่ออกใบรับรองมาตรฐาน SA8000 ได้แก่ IQNet Ltd. ซึ่งมีเครือข่ายในกว่า 150 ประเทศทั่วโลก

หลักเกณฑ์สำคัญของ SA8000 เป็นไปตามหลักการมาตรฐานสากลเกี่ยวกับสถานที่ทำงานตามข้อตกลงของ ILO (International Labour Organisation) กฎบัตรว่าด้วยสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติและข้อตกลงว่าด้วยสิทธิของเด็ก โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อให้บริษัทและองค์กรปรับปรุงและพิสูจน์ให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อสังคมในแง่ของสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่เกี่ยวกับการทำงาน

5. มาตรฐาน ISO 26000 (International Organisation for Standardization) เป็นมาตรฐานสำหรับการจัดการองค์กรด้านความรับผิดชอบต่อสังคม นับเป็นมาตรฐานใหม่ล่าสุดขององค์กร ISO ที่เพิ่งแล้วเสร็จในปี 2553 ระบุหลักการ ตัวชี้วัดในด้านความรับผิดชอบด้านสังคม และหลักเกณฑ์ในการนำไปบังคับใช้สำหรับหน่วยงานและองค์กรโดยทั่วไป ทั้งภาครัฐและเอกชน โดย

*พัฒนาคำจำกัดความและความหมายสากลของ SR และข้อกำหนด/กฎระเบียบต่างๆ

*ระบุหลักการและกฎเกณฑ์มาตรฐาน SR ที่เกี่ยวข้อง *ให้คำแนะนำในการนำกฎไปประยุกต์ใช้กับหน่วยงานของตนอย่างมีประสิทธิภาพ

การสนับสนุนของภาครัฐ

นอกเหนือจากมาตรการเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและนโยบายด้านสังคมที่กล่าวข้างต้นแล้ว รัฐบาลเยอรมันโดยกระทรวงสิ่งแวดล้อมฯ ยังให้การสนับสนุนผู้ประกอบการทั้งภายในประเทศและในต่างประเทศตามโครงการส่งเสริมนวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อมอีกด้วย กล่าวคือ

1. การสนับสนุนภายในประเทศ โดยการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดเพื่อการรักสิ่งแวดล้อม ที่เพิ่งนำมาใช้ในเยอรมนีเป็นครั้งแรก ในรูปของการลดดอกเบี้ยเงินกู้ผ่านธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME bank) หรือการร่วมลงทุนในโครงการนั้นๆ โดยเน้นโครงการด้านการรักษาชั้นบรรยากาศโลก การใช้พลังงานทางเลือกและการพัฒนาประสิทธิภาพของสินค้า ขอบข่ายสำคัญ ได้แก่ การรักษาทรัพยากรน้ำอากาศ การกำจัดขยะ และการลดมลภาวะทางเสียง

2. การสนับสนุนต่างประเทศ โดยเน้นเฉพาะโครงการในต่างประเทศที่จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อประเทศเยอรมนีหรือการถ่ายโอนความรู้เข้าสู่ประเทศเยอรมนี สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.foerderdatenbank.de

องค์กร/สมาคมอิสระอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

1. ko-Institut e.V. องค์กรอิสระของเยอรมันที่ดำเนินการเกี่ยวกับการวิจัยและให้คำแนะนำเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ก่อตั้งในปี 2520 และเป็นองค์กรที่ได้รับการยอมรับทั่วยุโรป ปัจจุบันมี 3 สาขาในเยอรมนี ได้แก่ เมือง Freiburg เมือง Darmstadt และกรุงเบอร์ลิน ประกอบด้วยพนักงาน 125 คน เป็นนักวิชาการกว่า 85 คน

เป้าหมายหลักเพื่อการวางกรอบและยุทธศาสตร์การดำเนินการต่างๆเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านโครงการกว่า200 โครงการต่อปี ทั้งที่เป็นโครงการของเยอรมนีเองและของนานาชาติ โดยครอบคลุมเนื้อหาดังนี้

  • การจัดการเคมีภัณฑ์และเทคโนโลยี
  • พลังงานและสภาพภูมิอากาศ
  • การป้องกันมลพิษและสารกัมมันตรังสี
  • ความหลากหลายทางชีวภาพและการเกษตร
  • การพัฒนาที่ยั่งยืนในแง่ของการบริโภค การเคลื่อนย้ายการประหยัดทรัพยากร การดำเนินธุรกิจ
  • เทคโนโลยีนิวเคลียร์
  • หลักนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์และการปกครอง

สถาบัน ko-Institut e.V. ดำเนินการด้วยเงินบริจาคจากสมาชิกกว่า 2,500 รายและจากเงินโครงการด้วยงบประมาณสนับสนุนจากหน่วยงานและองค์กรต่างๆ เช่น กระทรวง รัฐบาลของรัฐ ธุรกิจเอกชน และสหภาพยุโรป ตัวอย่างโครงการที่น่าสนใจซึ่งได้รับเงินสนับสนุนจากกระทรวงสิ่งแวดล้อมฯ ของเยอรมนี เช่น โครงการ Eco Top Ten ซึ่งเป็นโครงการร่วมกับสถาบันเพื่อการวิจัยด้านสังคมและเศรษฐกิจ(Institut fr sozial-๖kologisch Forschung: ISOE) ในการทำวิจัยและตรวจสอบผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในแง่ของการรักษาสิ่งแวดล้อมและเผยแพร่ให้ผู้บริโภคได้ใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณาซื้อสินค้าต่างๆ ผ่านเว็บไซด์ www.ecotopten.de

2. Institut fr sozial-๖kologisch Forschung (ISOE) หรือสถาบันเพื่อการวิจัยด้านสังคมและเศรษฐกิจ เป็นสถาบันเพื่อการวิจัยและให้คำแนะนำเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนก่อตั้งมากว่า 20 ปี ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต ปัจจุบันมีพนักงานประมาณ 27 คน เป็นนักวิชาการ 18 คน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่สังคมศาสตร์ โภชนศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ฟิสิกส์ไปจนถึงชีววิทยา ขอบเขตโครงการที่สำคัญเน้นการรักษาทรัพยากรน้ำ การพัฒนาพื้นที่ Lifestyle และประชากรศาสตร์โดยใช้ทฤษฎีทางเศรษฐสังคมเป็นหลัก

3. Business Social Compliance Initiative (BSCI) เป็นความคิดริเริ่มของผู้ประกอบการในยุโรป ก่อตั้งโดยองค์กร Foreign Trade Association (FTA) ในปี 2545 ที่กรุงบรัสเซลส์ สมาชิกประกอบด้วยบริษัทภาคเอกชนกว่า 600 ราย เป้าหมายสำคัญเพื่อการตรวจสอบและพัฒนาจิตสำนึกด้านสังคมในรูปของการพัฒนาสภาพแวดล้อมในการทำงานของบริษัทต่างๆ เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลกโดยประมวลองค์ความรู้ วิธีการและประสบการณ์เกี่ยวกับระบบการดำเนินงานและการตรวจสอบของบริษัทสมาชิกต่างๆ และพัฒนาจนได้เป็นกรอบพื้นฐานของระบบการดำเนินงานและการตรวจสอบดังกล่าว ซึ่งและมีการตรวจสอบปัจจัยด้านสังคมเป็นมาตรการสำคัญ

ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ

1. ผู้ประกอบการไทย ต้องให้ความสำคัญเกี่ยวกับการผลิตสินค้าตามนโยบายการรักษาสิ่งแวดล้อมของสหภาพยุโรปเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ต่างๆ นอกจากนี้จะต้องพัฒนาคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐานตามกฎระเบียบดังกล่าวข้างต้น

2. ในอนาคต อุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศเยอรมนี จะเน้นความสำคัญในเรื่องรถที่ประหยัดน้ำมันหรือรถไฟฟ้าพลังงานทดแทน ผู้ประกอบการไทยต้องเตรียมความพร้อมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ส่วนประกอบสินค้ายานยนต์ให้สอดคล้องกับแผนงานของประเทศเยอรมนี ซึ่งจัดได้ว่าเป็นประเทศผู้นำในเรื่องสินค้ายานยนต์

**********************************************************************************

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต

เมษายน 2555


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ