สถานการณ์เศรษฐกิจและผลกระทบจากวิกฤติการเงินโลกต่อญี่ปุ่น

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday January 14, 2009 13:57 —กรมส่งเสริมการส่งออก

1. ญี่ปุ่นขาดดุลการค้าต่อเนื่อง 2 เดือน เป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปี จากสภาวะเศรษฐกิจในสหรัฐฯ และส่งผลไปภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ทำให้มูลค่าส่งออกของญี่ปุ่นเดือนพฤศจิกายน นี้ ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 26.7 โดยส่งออกไปสหรัฐฯ และภูมิภาคเอเชีย ลดลงร้อยละ 33.8 และ 26.7 ตามลำดับ แม้มูลค่านำเข้าลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 14.4 ตามภาวะราคาน้ำมัน แต่การส่งออกที่ลดลงมากส่งผลให้ญี่ปุ่นขาดดุลการค้าในเดือนพฤศจิกายน 2551 ถึง 2.2 แสนล้านเยน (ประมาณ 2,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ)

2. การผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลง การส่งออกที่ลดลง ส่งผลกระทบต่อทั้งอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อส่งออกโดยตรง และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม เดือนพฤศจิกายน 2551 ลดต่อเนื่องจากเดือนตุลาคม และลดลงมากที่สุดในรอบ 55 ปี โดยลดลงร้อยละ 8.1 จากเดือนตุลาคมนี้ และลดลงร้อยละ16.2 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปี 2550 สาเหตุสำคัญจากสาขา การขนส่ง(รวมรถยนต์ และส่วนประกอบ)เครื่องจักร ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องมือ โดยการผลิตรถยนต์เดือนพฤศจิกายนนี้ ลดลงจากเดือนเดียวกันของปี 2550 ถึงร้อยละ 20.4

3. ผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่ปรับแผนการลงทุน/ลดการผลิต ความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ เครื่องรับโทรทัศน์ LCD และกล้องถ่ายรูปดิจิตอล ลดลงมาก ผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น Sony และ Sharp มีแผนลดการผลิตลง ลดจำนวนคนงาน สำหรับ Sony มีแผนจะปิดโรงงานบางแห่ง จาก 57 แห่งทั่วโลก ย้ายการผลิตไปประเทศกำลังพัฒนา และ outsourcing มากขึ้น

สำหรับผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ทั้ง Toyota และ Honda มีแผนลดการผลิตและเลื่อนการขยายการลงทุนทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ ซึ่งการลดการผลิตดังกล่าวจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วน วัตถุดิบและอุปกรณ์ด้วย

4. ยอดบริษัทล้มละลายปี2551มากที่สุดในรอบ 5 ปี คาดว่าสูงถึง 15,500 ราย โดยในระยะ 11 เดือนแรก (มกราคม-พฤศจิกายน) ของปีนี้ มีบริษัทล้มละลายจำนวน 14,284 ราย สาเหตุของการล้มละลาย ร้อยละ 37.2 เนื่องจากขาดเงินทุนดำเนินงาน สืบเนื่องจากสถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยเงินกู้ เงินกู้ส่วนใหญ่ให้แก่ บริษัทขนาดใหญ่ ซึ่งประสบปัญหาในการระดมเงินทุนจากตลาด ได้กลับมาเริ่มขอกู้เงินจากธนาคารมากขึ้น

5. สัดส่วนตำแหน่งงานว่างต่อจำนวนผู้หางานลดลงจากร้อยละ 80 เหลือร้อยละ 76 ในเดือนพฤศจิกายน 2551 โรงงาน/บริษัท จะลดการจ้างงาน โดยจะเลิกจ้างลูกจ้างประเภท Temporary Worker ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2551 จนถึงเดือนเดือนมีนาคม 2552 ประมาณ 850,000 คน อัตราการว่างงานในญี่ปุ่นปี 2551 แต่ละเดือนอยู่ที่ประมาณ ร้อยละ 3.8 —4.2

6. ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่าย และเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค โดยประหยัดเงิน และเลือกซื้อสินค้าจากร้านใกล้บ้านมากขึ้น ผู้บริโภคใช้จ่ายในห้างสรรพสินค้าน้อยลง ยอดจำหน่ายของห้างสรรพสินค้า11 เดือนแรก(มกราคม-พฤศจิกายน) ของปี 2551 มีมูลค่า 6.58 ล้านล้านเยน ลดลงจากระยะเดียวกันของปี 2550ร้อยละ 3.6 ขณะที่ ยอดขายในร้านสะดวกซื้อ 10 เดือนแรก(มกราคม-ตุลาคม) ของปีนี้ มีมูลค่า 6.49 ล้านล้านเยน ขยายตัวขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ร้อยละ 6.2 ส่วนหนึ่งเนื่องจากผู้บริโภคลดการใช้จ่ายโดยนิยมซื้ออาหารแพคปรุงสำเร็จมากขึ้น

ยอดจำหน่ายรถยนต์ใหม่(ไม่รวมรถยนต์ขนาดเล็กหรือ minicars ) เดือนธันวาคม 2551 ลดลงจากเดือนเดียวกันของปี 2550 ร้อยละ 27 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 โดยยอดจำหน่ายเดือน กันยายน ตุลาคม และพฤศจิกายน นี้ ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 5, 13, และ 27 ตามลำดับ

7. ค่าเงินเยนแข็งขึ้นส่งผลนักท่องเที่ยวต่างชาติหดหาย ค่าเงินเยนที่แข็งส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางไปญี่ปุ่นเดือนพฤศจิกายนมีจำนวน 553,900 คนลดลงเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปี 2550 ร้อยละ 19 หลังจากที่ลดลงร้อยละ 15 เมื่อเดือนตุลาคมนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4

อย่างไรก็ตาม ค่าเงินเยนที่แข็งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่นๆ ส่งผลดีต่อคนญี่ปุ่น เช่นกัน เช่น ผู้บริโภคได้ประโยชน์จาก สินค้านำเข้าเมื่อเทียบเป็นเงินเยนจะมีราคาถูกลง โดยธุรกิจค้าปลีก ทั้งห้างสรรพสินค้าและ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ดึงดูดลูกค้าด้วยการลดราคาสินค้าเพื่อกระตุ้นยอดขาย โดยเฉพาะสินค้าอุปโภค บริโภคที่นำเข้านอกจากนี้ ผู้ที่มีเงินออม หรือนักลงทุน สามารถนำเงินไปซื้อตราสารทางการเงิน ขยายการลงทุนในกิจการต่างชาติทั้งนี้ ค่าเงินเยนแข็งตัวขึ้นมาก โดยเฉพาะตั้งแต่กลางเดือนกันยายน 2551 ซึ่งมีอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 107 เยนต่อ 1 เหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าเป็นประมาณ 90 เยน ในช่วงปลายเดือนธันวาคมนี้ โดยมีค่าแข็งที่สุดประมาณ 88 เยนเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2551

8. คะแนนนิยมของรัฐบาลตกต่ำอย่างมาก ตามผลการสำรวจความคิดเห็นหลายสำนัก ปรากฎว่ารัฐบาลญี่ปุ่นภายใต้การนำของนาย Taro Aso หลังจากที่ดำรงตำแหน่งมาได้ 3 เดือนตั้งแต่เดือนกันยายน 2551 มีคะแนนนิยมอยู่ที่ประมาณ ร้อยละ 20 เท่านั้น โดยให้เหตุผลว่าว่ารัฐบาลตอบสนองต่อปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำและตลาดการจ้างงานช้าเกินไป ทั้งนี้ รัฐบาลได้ประกาศเพิ่มงบประมาณเพื่อใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว 2 ครั้งคือเมื่อสิ้นเดือนตุลาคม และกลางเดือนธันวาคม 2551 นี้

สำนักงานส่งเสริมการค้าฯ ณ กรุงโตเกียว

ที่มา: http://www.depthai.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ