ทำเนียบรัฐบาล--16 ก.ย.--บิสนิวส์
เรื่อง การแก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน (14 ส.ค. 2541)
*ธนาคารพาณิชย์ 4 แห่งที่กองทุนฟื้นฟูฯ เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
1. ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชยการ จำกัด (มหาชน)
รัฐบาลดำเนินการแก้ปัญาเพื่อรักษาประโยชน์ของผู้เกี่ยวข้องโดยรวม โดยการโอนทรัพย์สินส่วนที่ดีเงินฝากทั้งหมดและหนี้อื่น ๆ รวมทั้งหนี้สินที่เป็นภาระผูกพันล่วงหน้าไปยังธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยไม่ให้ผู้ฝากเงิน เจ้าหนี้ และผู้กู้เงินเดือดร้อน
2. ธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน)
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) รับโอนทรัพย์สินและเงินฝากหนี้สินทั้งหมดของธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) โดยไม่ให้ผู้ฝากและลูกหนี้ได้รับความเดือนร้อน
3. ธนาคารศรีนคร จำกัด (มหานคร) และธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน)
รัฐบาลจะเข้าไปเพิ่มทุนให้ทั้ง 2 ธนาคาร ก่อนเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้าร่วมทุน คาดว่าจะเริ่มกระบวนการให้เอกชนยื่นข้อเสนอได้ภายในปลายเดือนกันยายน 2541
*การแก้ปัญหาธนาคารพาณิชย์ 2 แห่ง ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเพิ่งเข้าแทรกแซง
1. ธนาคารรัตนสิน จำกัด (มหาชน) รวมกิจการกับธนาคารแหลมทอง จำกัด (มหาชน)
2. ธนาคารสหธนาคาร จำกัด (มหาชน) รวมกิจการเข้ากับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) และบริษัทเงินทุนอีก 12 แห่งที่ถูกธนาคารแห่งประเทศไทยแทรกแซง
3. การแก้ไขปัญหาบริษัทเงินทุนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าแทรกแซง
บริษัทเงินทุน 5 แห่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าแทรกแซงวันที่ 14 สิงหาคม 2541 ธนาคารแห่งประเทศไทยจะให้ลดทุนเปลี่ยนผู้บริหารแล้วจึงเพิ่มทุน ก่อนที่จะนำไปรวมกับธนาคารพาณิชย์ใหม่ที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) จะเข้าควบรวมต่อไป
เรื่อง แผนพิทักษ์คุ้มครองสิทธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2540-2549
ปัจจุบันการละเมิดสิทธิเด็กและเยาวชนเกิดขึ้นบ่อยและมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น ทำให้เด็กและเยาวชนตกอยู่ในภาวะทุกข์ยาก บางคนถูกทอดทิ้ง เร่ร่อน ขาดผู้อุปการะ ต้องเผชิญกับปัญหาชีวิตโดยลำพังตั้งแต่อายุยังน้อย หน่วยงานของรัฐและองค์กรเอกชนที่มีบทบาทภารกิจในการช่วยเหลือคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก เยาวชน และบุคคลที่เดือนร้อน ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากต่างก็ได้พยายามแก้ไขปัญหาและความช่วยเหลือแต่ทำได้ไม่มาก เนื่องจากทรัพยากรบุคคลและงบประมาณมีจำนวนจำกัด หากมีการประสานความร่วมมือในการดำเนินงานอาจทำให้ช่วยเหลือเด็กและเยาวชนได้มากขึ้น กระทรวงยุติธรรมจึงได้จัดทำแผนพิทักษ์คุ้มครองสิทธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2540-2549 ขึ้นเพื่อเป็นแผนแม่บทในการดำเนินงาน พอสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. นโยบายการพิทักษ์สิทธิเด็ก เยาวชนและครอบครัวจะอำนวยความยุติธรรมแก่เด็ก เยาวชน และครอบครัว โดยมุ่งขยายงานศาลเยาวชนและครอบครัว และสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ให้ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้ได้รับการพิทักษ์คุ้มครองอย่างทั่วถึงและเสมอภาค
2. มีเป้าหมายที่จะให้การพิทักษ์คุ้มครองเด็กและเยาวชน 3 กลุ่มคือ
1. กลุ่มเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด
2. กลุ่มเด็กและเยาวชนที่อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการกระทำผิด
3. กลุ่มเด็กและเยาวชนที่ถูกกระทำทารุณกรรมถูกบังคับกดขี่ด้านแรงงานและขายบริการทางเพศ
3. การจัดทำแผนฯ ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อศึกษาวิเคราะห์หาปัญหาสาเหตุ และแนวทางแก้ไข กำหนดกลยุทธ์ในการแก้ไขอย่างเป็นระบบ เป็นไปตามหลักวิชาการวางแผน ประกอบด้วยแผนงานต่าง ๆ 6 ด้าน คือ
แผนด้านที่ 1 แผนส่งเสริมและประสานความร่วมมือในการพิทักษ์คุ้มครองสิทธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว
แผนด้านที่ 2 แผนปรับปรุงระบบแก้ไข บำบัด ฟื้นฟู สงเคราะห์เด็ก เยาวชนและครอบครัว
แผนด้านที่ 3 แผนปรับปรุงโครงสร้างและระบบบริหารงานศาลเยาวชนและครอบครัว กับสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
แผนด้านที่ 4 แผนขยายงานพิทักษ์คุ้มครองสิทธิเด็ก เยาวชน และครอบครัว
แผนด้านที่ 5 แผนพัฒนางานตุลาการ
แผนด้านที่ 6 แผนพัฒนาทรัพยากรบุคคล
4. การประสานงาน กระทรวงยุติธรรมได้จัดทำ "ร่างข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการพิทักษ์คุ้มครองสิทธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว) ให้มีการลงนามร่วมกันระหว่างกระทรวงยุติธรรมกับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม และทบวงมหาวิทยาลัย โดยมีนายกรัฐมนตรีร่วมลงนาม
5. ด้านงบประมาณ กระทรวงยุติธรรมจัดทำคำของบประมาณประจำปีในส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายของศาลเยาวชนและครอบครัวกับสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ส่วนหน่วยงานอื่นที่จะสนับสนุนงานของศาลเยาวชนและครอบครัวกับสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ก็สามารถขอตั้งงบประมาณสำหรับดำเนินงานตามบทบาทภารกิจที่รับผิดชอบ โดยประสานการจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปีระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติ
ในการประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 21 กรกฏาคม 2541 คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในหลักการและสาระสำคัญของแผนพิทักษ์คุ้มครองสิทธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2540-2549 ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ซึ่งเป็นแผนที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 โดยมุ่งให้การช่วยเหลือ แก้ไข บำบัด และฟื้นฟูเด็กและเยาวชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ให้ความเห็นชอบในหลักการแล้ว
เรื่อง การแก้ไขปัญหาโสเภณีเด็ก
คณะรัฐมนตรีรับทราบเมื่อวันที่ 4 ส.ค. 41 ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีรายงานผลการดำเนินงานแก้ไขปัญหาโสเภณีเด็กระยะ 6 เดือน ตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาธุรกิจบริการทางเพศ ระหว่าง 1 ตุลาคม 2540 - 30 มีนาคม 2541 สรุปได้ดังนี้
1. สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้ประสานงานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขธุรกิจบริการทางเพศ และให้จัดทำรายงานผลการแก้ไขปัญหาโสเภณีเด็กแผนปฏิบัติการดังกล่าว ตามแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาธุรกิจบริการทางเพศ ระยะ 6 เดือน ระหว่าง 1 ตุลาคม 2540 - 31 มีนาคม 2541
2. แผนงานป้องกันเป็นการป้องกันมิให้เด็กเข้าสู่ธุรกิจบริการทางเพศโดยให้การศึกษา การฝึกอาชีพ และการรณรงค์ เผยแพร่ ประชาสัมพันธ์
2.1 โครงการเสมาพัฒนาชีวิตให้ทุนการศึกษาแก่เด็กที่มีฐานะยากจนเข้าเรียนต่อชั้น ม.1 - ม.3 อบรมการพัฒนาตนเอง ฝึกอาชีพ และให้กู้ยืมเงินประกอบอาชีพกับสตรี เยาวชนและเด็กด้อยโอกาส นอกจากนี้ ได้มีกิจกรรมพัฒนาเยาวชนและสตรีโดยผ่านระบบ กพสม. และมีการพัฒนาคุณภาพบุคลากรทางศาลให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาธุรกิจบริการทางเพศ
2.2 จัดโครงการต้านการค้าประเวณี/ให้ความรู้แก่ชาวบ้านและองค์กรพัฒนาสตรีทุกระดับ จัดเจ้าหน้าที่ตำรวจชุมชนสัมพันธ์ออกพบปะประชาชนในพื้นที่ทั่วประเทศ และผลิตสื่อรณรงค์ทั้งด้านสิ่งพิมพ์ สปอตวิทยุ และโทรทัศน์
3. แผนงานปราบปราม มุ่งเน้นมาตรการทางกฏหมาย การบังคับใช้ การดำเนินคดีและวิธีปฏิบัติให้การคุ้มครองผู้เสียหายและพยาน ผลการดำเนินการได้เผยแพร่และขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีการบังคับใช้ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 อย่างจริงจัง และมีการปรับปรุงและแก้ไขเพิ่มเติมกฏหมายให้ทันสมัยขึ้น
4. แผนงานช่วยเหลือและคุ้มครอง มุ่งขยายงานรับเรื่องราวร้องทุกข์และช่วยเหลือเฉพาะหน้าแก่ผู้ตกเป็นเหยื่อธุรกิจบริการทางเพศ โดยจัดให้มีโทรศัพท์สายด่วนหมายเลข 1507 จัดโครงการให้ความรู้และสร้างจิตสำนึกให้แก่ประชาชนใน 75 จังหวัด
5. แผนงานช่วยเหลือฟื้นฟูและปรับตัวเข้าสู่สังคมปกติ จัดบริการให้ความช่วยเหลือ แก่เด็กกลุ่มเสี่ยงและสตรีที่เลิกประกอบอาชีพในสถานบริการทางเพศอย่างครบวงจร นับตั้งแต่การให้ที่พักพิงชั่วคราว การศึกษา ฝึกอาชีพ จัดหางาน เงินทุน และบำบัดฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ และจัดบริการตรวจสุขภาพแก่ผู้ให้บริการทางเพศทั่วประเทศ
6. แผนงานการจัดโครงสร้าง กลไก และระบบงาน ที่กำกับ ควบคุม ติดตาม และเร่งรัดการปฏิบัติงาน มุ่งเน้นการระดมความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยมีโครงการจัดตั้งกองบังคับการรับผิดชอบงานด้านสตรีและเด็กขึ้นในกรมตำรวจ และจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจที่มีอำนาจจับกุมได้ในกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม
เรื่อง การปิดเรียนของสถานศึกษา
คณะรัฐมนตรีพิจาณาการปิดเรียนของสถานศึกษาในช่วงการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 (วันที่ 6-20 ธันวาคม 2541) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย รัตตกุล) ประธานกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 เสนอ แล้วมีมติในการประชุมวันที่ 4 ส.ค. 41 ดังนี้
1. ให้สถาบันการศึกษทุกระดับทั่วประเทศปิดเรียนช่วงการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 (วันที่ 6-20 ธันวาคม 2541)
2. ให้กระทรวงศึกษาธิการ และทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐ พิจารณาร่วมกับเอกชนเพื่อจัดการศึกษาชดเชยตามความจำเป็น
3. ให้นำโครงการในแผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติฉบับที่ 2 มาดำเนินการเพื่อให้มีกิจกรรมกีฬาทั่วประเทศ
4. ให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจัดกิจกรรมพิเศษส่งเสริมปี Amazing Thailand เพื่อสนับสนุนกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 ในช่วงเดียวกัน
ทั้งนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียน นักศึกษา และเยาวชนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมทุกระดับ ทุกประเภท และทุกจังหวัดที่มีการแข่งขัน มีโอกาสได้ใช้เวลาในช่วงดังกล่าวชมการแข่งขันกีฬาทั้งในสนามจริง และผ่านสื่อที่มีการถ่ายทอดการแข่งขันทุกประเภท นอกจากนั้น ยังเป็นการปลุกเร้าให้มีความตระหนักในคุณค่าของการกีฬา การสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติ
เรื่อง วิกฤตเศรษฐกิจกับการศึกษา : ทางออกเพื่อพัฒนาประเทศ
คณะรัฐมนตรีรับทราบวันที่ 21 ก.ค. 41 ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีรายงานการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง วิกฤตเศรษฐกิจกับการศึกษา : ทางออกเพื่อพัฒนาประเทศ สรุปได้ดังนี้
1. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ได้ประสานกับหน่วยงานที่รับผิดชอบมาตรการต่าง ๆ คือ กระทรวงศึกษาธิการ ทบวงมหาวิทยาลัย ธนาคารออมสิน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม และสำนักงบประมาณ เพื่อให้ทราบถึงการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับแต่ละมาตรการของหน่วยงานต่าง ๆ
2. จากการประมวลและวิเคราะห์การดำเนินงานของหน่วยงานดังกล่าว สรุปได้ว่าในปีงบประมาณ 2541 มีการดำเนินงานในโครงการ/กิจกรรมต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับมาตรการเร่งด่วนจำนวน 3 มาตรการ คือ
1. การให้ความช่วยเหลือนักเรียน นักศึกษา และผู้ปกครองที่ได้รับผลกระทบ
1. ในด้านการเพิ่มขนาดกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาพร้อมลดหย่อนเงื่อนไขการกู้ยืมให้คล่องตัวและยืดหยุ่น ในปีงบประมาณ 2540 ของกระทรวงการคลังได้จัดสรรงบประมาณให้แก่กองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาได้ 16,900 ล้านบาท แต่ในปีงบประมาณ 2541 นี้สามารถจัดสรรให้ได้มากขึ้น โดยได้จัดสรรให้เป็นเงินรวม 18,000 ล้านบาท แยกเป็นส่วนสำหรับผู้กู้เก่า 12,000 ล้านบาท และสำหรับผู้กู้ใหม่ 6,000 ล้านบาท อย่างไรก็ดีกระบวนการให้กู้ในปัจจุบันทั้งในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการและทบวงมหาวิทยาลัยยังมีปัญหาอุปสรรคบางประการ เช่นความจำกัดของเงินกองทุน ความไม่สมบูรณ์ของหลักฐาน เป็นต้น ทำให้การดำเนินงานกองทุนฯ ไม่สามารถสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. ในด้านการนำเงินกองทุนพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มาให้สถานศึกษาเอกชนกู้เพื่อนำไปเสริมสภาพคล่อง ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาหลักเกณฑ์การให้กู้ตามโครงการเสริมสภาพคล่องทางการเงินของโรงเรียนเอกชนในสภาวะวิกฤต ซึ่งเป็นโครงการที่สำนักงานคณะกรรมการศึกษาเอกชนจัดทำขึ้นและธนาคารออมสินได้ให้ความเห็นชอบในหลักการแล้ว
3. ในด้านการให้ความช่วยเหลือแก้นักเรียน โดยให้สถานศึกษาต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ และทบวงมหาวิทยาลัยผ่อนผันการชำระค่าเล่าเรียนให้แก่นักเรียน/นักศึกษาที่ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ในส่วนของรัฐบาลเองยังได้อนุมัติให้นำเงินกู้จากธนาคารพัฒนาเอเชีย 1,000 ล้านบาท มาจัดสรรเป็นทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนที่ผู้ปกครองตกงาน/ยากจนด้วย
2. การให้ความช่วยเหลือผู้สำเร็จการศึกษาและผู้ว่างงาน
โดยการส่งเสริมสนับสนุนโครงการฝึกอบรมระยะสั้นให้แก่ ผู้สำเร็จการศึกษาใหม่ที่ยังหางานทำไม่ได้ ผู้ว่างงานหรือถูกปลดออกจากงาน และแรงงานที่ย้อนกลับเข้าสู่ภาคการเกษตร
3. ปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารจัดการและการใช้ทรัพยากร รวมทั้งการให้สถาบันการศึกษามีความคล่องตัวมากขึ้นในการปรับใช้งบประมาณของสถาบันการศึกษาดังนี้
1. กระทรวงศึกษาธิการ ได้ดำเนินการโดยกำหนดให้หน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัด ใช้วัสดุอุปกรณ์และสาธารณูปโภคอย่างประหยัด อีกทั้งยังได้ลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อประหยัดงบประมาณด้วย
2. ทบวงมหาวิทยาลัย นอกจากประหยัดการใช้วัสดุและสาธารณูปโภคแล้ว ยังมีการวางแผนและดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างและภารกิจของหน่วยงานในสังกัดให้สอดคล้องกับภาวะวิกฤต โดยจะลดขั้นตอนการทำงาน และมีการพัฒนาและหมุนเวียนบุคลากรให้สอดคล้องกับงาน อีกทั้งยังดำเนินการให้มีการใช้ทรัพยากรและงบประมาณอย่างคุ้มค่ามากขึ้น โดยการเปิดรับนักศึกษาในสาขาขาดแคลนเพิ่มขึ้น และการพยายามผลักดันให้มหาวิทยาลัย/สถาบันในสังกัดสามารถเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณที่ไม่ใช่เงินเดือนเพื่อนำมาใช้จ่ายให้สอดคล้องกับแผนได้--จบ--
เรื่อง การแก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน (14 ส.ค. 2541)
*ธนาคารพาณิชย์ 4 แห่งที่กองทุนฟื้นฟูฯ เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
1. ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชยการ จำกัด (มหาชน)
รัฐบาลดำเนินการแก้ปัญาเพื่อรักษาประโยชน์ของผู้เกี่ยวข้องโดยรวม โดยการโอนทรัพย์สินส่วนที่ดีเงินฝากทั้งหมดและหนี้อื่น ๆ รวมทั้งหนี้สินที่เป็นภาระผูกพันล่วงหน้าไปยังธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยไม่ให้ผู้ฝากเงิน เจ้าหนี้ และผู้กู้เงินเดือดร้อน
2. ธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน)
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) รับโอนทรัพย์สินและเงินฝากหนี้สินทั้งหมดของธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) โดยไม่ให้ผู้ฝากและลูกหนี้ได้รับความเดือนร้อน
3. ธนาคารศรีนคร จำกัด (มหานคร) และธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน)
รัฐบาลจะเข้าไปเพิ่มทุนให้ทั้ง 2 ธนาคาร ก่อนเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้าร่วมทุน คาดว่าจะเริ่มกระบวนการให้เอกชนยื่นข้อเสนอได้ภายในปลายเดือนกันยายน 2541
*การแก้ปัญหาธนาคารพาณิชย์ 2 แห่ง ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเพิ่งเข้าแทรกแซง
1. ธนาคารรัตนสิน จำกัด (มหาชน) รวมกิจการกับธนาคารแหลมทอง จำกัด (มหาชน)
2. ธนาคารสหธนาคาร จำกัด (มหาชน) รวมกิจการเข้ากับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) และบริษัทเงินทุนอีก 12 แห่งที่ถูกธนาคารแห่งประเทศไทยแทรกแซง
3. การแก้ไขปัญหาบริษัทเงินทุนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าแทรกแซง
บริษัทเงินทุน 5 แห่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าแทรกแซงวันที่ 14 สิงหาคม 2541 ธนาคารแห่งประเทศไทยจะให้ลดทุนเปลี่ยนผู้บริหารแล้วจึงเพิ่มทุน ก่อนที่จะนำไปรวมกับธนาคารพาณิชย์ใหม่ที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) จะเข้าควบรวมต่อไป
เรื่อง แผนพิทักษ์คุ้มครองสิทธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2540-2549
ปัจจุบันการละเมิดสิทธิเด็กและเยาวชนเกิดขึ้นบ่อยและมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น ทำให้เด็กและเยาวชนตกอยู่ในภาวะทุกข์ยาก บางคนถูกทอดทิ้ง เร่ร่อน ขาดผู้อุปการะ ต้องเผชิญกับปัญหาชีวิตโดยลำพังตั้งแต่อายุยังน้อย หน่วยงานของรัฐและองค์กรเอกชนที่มีบทบาทภารกิจในการช่วยเหลือคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก เยาวชน และบุคคลที่เดือนร้อน ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากต่างก็ได้พยายามแก้ไขปัญหาและความช่วยเหลือแต่ทำได้ไม่มาก เนื่องจากทรัพยากรบุคคลและงบประมาณมีจำนวนจำกัด หากมีการประสานความร่วมมือในการดำเนินงานอาจทำให้ช่วยเหลือเด็กและเยาวชนได้มากขึ้น กระทรวงยุติธรรมจึงได้จัดทำแผนพิทักษ์คุ้มครองสิทธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2540-2549 ขึ้นเพื่อเป็นแผนแม่บทในการดำเนินงาน พอสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. นโยบายการพิทักษ์สิทธิเด็ก เยาวชนและครอบครัวจะอำนวยความยุติธรรมแก่เด็ก เยาวชน และครอบครัว โดยมุ่งขยายงานศาลเยาวชนและครอบครัว และสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ให้ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้ได้รับการพิทักษ์คุ้มครองอย่างทั่วถึงและเสมอภาค
2. มีเป้าหมายที่จะให้การพิทักษ์คุ้มครองเด็กและเยาวชน 3 กลุ่มคือ
1. กลุ่มเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด
2. กลุ่มเด็กและเยาวชนที่อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการกระทำผิด
3. กลุ่มเด็กและเยาวชนที่ถูกกระทำทารุณกรรมถูกบังคับกดขี่ด้านแรงงานและขายบริการทางเพศ
3. การจัดทำแผนฯ ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อศึกษาวิเคราะห์หาปัญหาสาเหตุ และแนวทางแก้ไข กำหนดกลยุทธ์ในการแก้ไขอย่างเป็นระบบ เป็นไปตามหลักวิชาการวางแผน ประกอบด้วยแผนงานต่าง ๆ 6 ด้าน คือ
แผนด้านที่ 1 แผนส่งเสริมและประสานความร่วมมือในการพิทักษ์คุ้มครองสิทธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว
แผนด้านที่ 2 แผนปรับปรุงระบบแก้ไข บำบัด ฟื้นฟู สงเคราะห์เด็ก เยาวชนและครอบครัว
แผนด้านที่ 3 แผนปรับปรุงโครงสร้างและระบบบริหารงานศาลเยาวชนและครอบครัว กับสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
แผนด้านที่ 4 แผนขยายงานพิทักษ์คุ้มครองสิทธิเด็ก เยาวชน และครอบครัว
แผนด้านที่ 5 แผนพัฒนางานตุลาการ
แผนด้านที่ 6 แผนพัฒนาทรัพยากรบุคคล
4. การประสานงาน กระทรวงยุติธรรมได้จัดทำ "ร่างข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการพิทักษ์คุ้มครองสิทธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว) ให้มีการลงนามร่วมกันระหว่างกระทรวงยุติธรรมกับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม และทบวงมหาวิทยาลัย โดยมีนายกรัฐมนตรีร่วมลงนาม
5. ด้านงบประมาณ กระทรวงยุติธรรมจัดทำคำของบประมาณประจำปีในส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายของศาลเยาวชนและครอบครัวกับสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ส่วนหน่วยงานอื่นที่จะสนับสนุนงานของศาลเยาวชนและครอบครัวกับสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ก็สามารถขอตั้งงบประมาณสำหรับดำเนินงานตามบทบาทภารกิจที่รับผิดชอบ โดยประสานการจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปีระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติ
ในการประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 21 กรกฏาคม 2541 คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในหลักการและสาระสำคัญของแผนพิทักษ์คุ้มครองสิทธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2540-2549 ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ซึ่งเป็นแผนที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 โดยมุ่งให้การช่วยเหลือ แก้ไข บำบัด และฟื้นฟูเด็กและเยาวชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ให้ความเห็นชอบในหลักการแล้ว
เรื่อง การแก้ไขปัญหาโสเภณีเด็ก
คณะรัฐมนตรีรับทราบเมื่อวันที่ 4 ส.ค. 41 ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีรายงานผลการดำเนินงานแก้ไขปัญหาโสเภณีเด็กระยะ 6 เดือน ตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาธุรกิจบริการทางเพศ ระหว่าง 1 ตุลาคม 2540 - 30 มีนาคม 2541 สรุปได้ดังนี้
1. สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้ประสานงานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขธุรกิจบริการทางเพศ และให้จัดทำรายงานผลการแก้ไขปัญหาโสเภณีเด็กแผนปฏิบัติการดังกล่าว ตามแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาธุรกิจบริการทางเพศ ระยะ 6 เดือน ระหว่าง 1 ตุลาคม 2540 - 31 มีนาคม 2541
2. แผนงานป้องกันเป็นการป้องกันมิให้เด็กเข้าสู่ธุรกิจบริการทางเพศโดยให้การศึกษา การฝึกอาชีพ และการรณรงค์ เผยแพร่ ประชาสัมพันธ์
2.1 โครงการเสมาพัฒนาชีวิตให้ทุนการศึกษาแก่เด็กที่มีฐานะยากจนเข้าเรียนต่อชั้น ม.1 - ม.3 อบรมการพัฒนาตนเอง ฝึกอาชีพ และให้กู้ยืมเงินประกอบอาชีพกับสตรี เยาวชนและเด็กด้อยโอกาส นอกจากนี้ ได้มีกิจกรรมพัฒนาเยาวชนและสตรีโดยผ่านระบบ กพสม. และมีการพัฒนาคุณภาพบุคลากรทางศาลให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาธุรกิจบริการทางเพศ
2.2 จัดโครงการต้านการค้าประเวณี/ให้ความรู้แก่ชาวบ้านและองค์กรพัฒนาสตรีทุกระดับ จัดเจ้าหน้าที่ตำรวจชุมชนสัมพันธ์ออกพบปะประชาชนในพื้นที่ทั่วประเทศ และผลิตสื่อรณรงค์ทั้งด้านสิ่งพิมพ์ สปอตวิทยุ และโทรทัศน์
3. แผนงานปราบปราม มุ่งเน้นมาตรการทางกฏหมาย การบังคับใช้ การดำเนินคดีและวิธีปฏิบัติให้การคุ้มครองผู้เสียหายและพยาน ผลการดำเนินการได้เผยแพร่และขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีการบังคับใช้ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 อย่างจริงจัง และมีการปรับปรุงและแก้ไขเพิ่มเติมกฏหมายให้ทันสมัยขึ้น
4. แผนงานช่วยเหลือและคุ้มครอง มุ่งขยายงานรับเรื่องราวร้องทุกข์และช่วยเหลือเฉพาะหน้าแก่ผู้ตกเป็นเหยื่อธุรกิจบริการทางเพศ โดยจัดให้มีโทรศัพท์สายด่วนหมายเลข 1507 จัดโครงการให้ความรู้และสร้างจิตสำนึกให้แก่ประชาชนใน 75 จังหวัด
5. แผนงานช่วยเหลือฟื้นฟูและปรับตัวเข้าสู่สังคมปกติ จัดบริการให้ความช่วยเหลือ แก่เด็กกลุ่มเสี่ยงและสตรีที่เลิกประกอบอาชีพในสถานบริการทางเพศอย่างครบวงจร นับตั้งแต่การให้ที่พักพิงชั่วคราว การศึกษา ฝึกอาชีพ จัดหางาน เงินทุน และบำบัดฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ และจัดบริการตรวจสุขภาพแก่ผู้ให้บริการทางเพศทั่วประเทศ
6. แผนงานการจัดโครงสร้าง กลไก และระบบงาน ที่กำกับ ควบคุม ติดตาม และเร่งรัดการปฏิบัติงาน มุ่งเน้นการระดมความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยมีโครงการจัดตั้งกองบังคับการรับผิดชอบงานด้านสตรีและเด็กขึ้นในกรมตำรวจ และจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจที่มีอำนาจจับกุมได้ในกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม
เรื่อง การปิดเรียนของสถานศึกษา
คณะรัฐมนตรีพิจาณาการปิดเรียนของสถานศึกษาในช่วงการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 (วันที่ 6-20 ธันวาคม 2541) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย รัตตกุล) ประธานกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 เสนอ แล้วมีมติในการประชุมวันที่ 4 ส.ค. 41 ดังนี้
1. ให้สถาบันการศึกษทุกระดับทั่วประเทศปิดเรียนช่วงการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 (วันที่ 6-20 ธันวาคม 2541)
2. ให้กระทรวงศึกษาธิการ และทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐ พิจารณาร่วมกับเอกชนเพื่อจัดการศึกษาชดเชยตามความจำเป็น
3. ให้นำโครงการในแผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติฉบับที่ 2 มาดำเนินการเพื่อให้มีกิจกรรมกีฬาทั่วประเทศ
4. ให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจัดกิจกรรมพิเศษส่งเสริมปี Amazing Thailand เพื่อสนับสนุนกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 ในช่วงเดียวกัน
ทั้งนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียน นักศึกษา และเยาวชนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมทุกระดับ ทุกประเภท และทุกจังหวัดที่มีการแข่งขัน มีโอกาสได้ใช้เวลาในช่วงดังกล่าวชมการแข่งขันกีฬาทั้งในสนามจริง และผ่านสื่อที่มีการถ่ายทอดการแข่งขันทุกประเภท นอกจากนั้น ยังเป็นการปลุกเร้าให้มีความตระหนักในคุณค่าของการกีฬา การสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติ
เรื่อง วิกฤตเศรษฐกิจกับการศึกษา : ทางออกเพื่อพัฒนาประเทศ
คณะรัฐมนตรีรับทราบวันที่ 21 ก.ค. 41 ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีรายงานการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง วิกฤตเศรษฐกิจกับการศึกษา : ทางออกเพื่อพัฒนาประเทศ สรุปได้ดังนี้
1. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ได้ประสานกับหน่วยงานที่รับผิดชอบมาตรการต่าง ๆ คือ กระทรวงศึกษาธิการ ทบวงมหาวิทยาลัย ธนาคารออมสิน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม และสำนักงบประมาณ เพื่อให้ทราบถึงการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับแต่ละมาตรการของหน่วยงานต่าง ๆ
2. จากการประมวลและวิเคราะห์การดำเนินงานของหน่วยงานดังกล่าว สรุปได้ว่าในปีงบประมาณ 2541 มีการดำเนินงานในโครงการ/กิจกรรมต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับมาตรการเร่งด่วนจำนวน 3 มาตรการ คือ
1. การให้ความช่วยเหลือนักเรียน นักศึกษา และผู้ปกครองที่ได้รับผลกระทบ
1. ในด้านการเพิ่มขนาดกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาพร้อมลดหย่อนเงื่อนไขการกู้ยืมให้คล่องตัวและยืดหยุ่น ในปีงบประมาณ 2540 ของกระทรวงการคลังได้จัดสรรงบประมาณให้แก่กองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาได้ 16,900 ล้านบาท แต่ในปีงบประมาณ 2541 นี้สามารถจัดสรรให้ได้มากขึ้น โดยได้จัดสรรให้เป็นเงินรวม 18,000 ล้านบาท แยกเป็นส่วนสำหรับผู้กู้เก่า 12,000 ล้านบาท และสำหรับผู้กู้ใหม่ 6,000 ล้านบาท อย่างไรก็ดีกระบวนการให้กู้ในปัจจุบันทั้งในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการและทบวงมหาวิทยาลัยยังมีปัญหาอุปสรรคบางประการ เช่นความจำกัดของเงินกองทุน ความไม่สมบูรณ์ของหลักฐาน เป็นต้น ทำให้การดำเนินงานกองทุนฯ ไม่สามารถสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. ในด้านการนำเงินกองทุนพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มาให้สถานศึกษาเอกชนกู้เพื่อนำไปเสริมสภาพคล่อง ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาหลักเกณฑ์การให้กู้ตามโครงการเสริมสภาพคล่องทางการเงินของโรงเรียนเอกชนในสภาวะวิกฤต ซึ่งเป็นโครงการที่สำนักงานคณะกรรมการศึกษาเอกชนจัดทำขึ้นและธนาคารออมสินได้ให้ความเห็นชอบในหลักการแล้ว
3. ในด้านการให้ความช่วยเหลือแก้นักเรียน โดยให้สถานศึกษาต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ และทบวงมหาวิทยาลัยผ่อนผันการชำระค่าเล่าเรียนให้แก่นักเรียน/นักศึกษาที่ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ในส่วนของรัฐบาลเองยังได้อนุมัติให้นำเงินกู้จากธนาคารพัฒนาเอเชีย 1,000 ล้านบาท มาจัดสรรเป็นทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนที่ผู้ปกครองตกงาน/ยากจนด้วย
2. การให้ความช่วยเหลือผู้สำเร็จการศึกษาและผู้ว่างงาน
โดยการส่งเสริมสนับสนุนโครงการฝึกอบรมระยะสั้นให้แก่ ผู้สำเร็จการศึกษาใหม่ที่ยังหางานทำไม่ได้ ผู้ว่างงานหรือถูกปลดออกจากงาน และแรงงานที่ย้อนกลับเข้าสู่ภาคการเกษตร
3. ปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารจัดการและการใช้ทรัพยากร รวมทั้งการให้สถาบันการศึกษามีความคล่องตัวมากขึ้นในการปรับใช้งบประมาณของสถาบันการศึกษาดังนี้
1. กระทรวงศึกษาธิการ ได้ดำเนินการโดยกำหนดให้หน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัด ใช้วัสดุอุปกรณ์และสาธารณูปโภคอย่างประหยัด อีกทั้งยังได้ลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อประหยัดงบประมาณด้วย
2. ทบวงมหาวิทยาลัย นอกจากประหยัดการใช้วัสดุและสาธารณูปโภคแล้ว ยังมีการวางแผนและดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างและภารกิจของหน่วยงานในสังกัดให้สอดคล้องกับภาวะวิกฤต โดยจะลดขั้นตอนการทำงาน และมีการพัฒนาและหมุนเวียนบุคลากรให้สอดคล้องกับงาน อีกทั้งยังดำเนินการให้มีการใช้ทรัพยากรและงบประมาณอย่างคุ้มค่ามากขึ้น โดยการเปิดรับนักศึกษาในสาขาขาดแคลนเพิ่มขึ้น และการพยายามผลักดันให้มหาวิทยาลัย/สถาบันในสังกัดสามารถเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณที่ไม่ใช่เงินเดือนเพื่อนำมาใช้จ่ายให้สอดคล้องกับแผนได้--จบ--