ในส่วนของประเทศไทย พลตรี วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีที่ได้มีโอกาสพบกับเคดันเรน และสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่นในวันนี้ ซึ่งนับว่าอยู่ในช่วงเวลาสำคัญของการจัดประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศลุ่มน้ำโขงและญี่ปุ่น ในฐานะมิตรประเทศยาวนานที่มีต่อกัน
ภาคเอกชนญี่ปุ่นเป็นกลจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศลุ่มน้ำโขง ในส่วนของไทย ภาคเอกชนญี่ปุ่นเรียกได้ว่า เป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นของไทย และเป็นส่วนสำคัญยิ่งของความสำเร็จของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของไทยมาหลายทศวรรษ
นอกจากนี้ ธุรกิจญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุน ต่างมาพร้อมกับเทคโนโลยี วิทยาการ การบริหารจัดการที่มีมาตรฐาน รวมทั้งสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับชุมชนในท้องที่ ซึ่งทำให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืนของอนุภูมิภาค
โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณภาคเอกชนญี่ปุ่น และหวังว่า ภาคเอกชนญี่ปุ่นจะคงบทบาท ที่แข็งแกร่งในประเทศลุ่มน้ำโขงทุกประเทศต่อไป เพื่อสร้างความเจริญให้แก่อนุภูมิภาคและร่วมก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน
ลุ่มน้ำโขงเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจหนึ่งที่มีพลวัตมากที่สุดในภูมิภาคและในโลกและยังขยายตัวได้อีกมาก
ในส่วนของไทย เศรษฐกิจมีเสถียรภาพและพัฒนาการไปในทางที่ดี โดยคาดว่า เศรษฐกิจในปีนี้จะมีอัตราเติบโตกว่าร้อยละ 3 – 4
ไทยให้ความสำคัญต่อการสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการลงทุนสำหรับนักลงทุนต่างชาติในอนุภูมิภาค
ไทยได้ปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมแก่บริษัทต่างชาติที่เข้ามาจัดตั้งสำนักงานใหญ่ระหว่างประเทศ (International Headquarters – IHQ) และบริษัทการค้าระหว่างประเทศ (International Trading Centres – ITC) ในไทย นักลงทุนสามารถใช้ไทยเป็นฐานการลงทุนและการผลิต เพื่อขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องไปยังประเทศในภูมิภาค ในลักษณะ “บวกหนึ่ง”
ขณะเดียวกัน ไทยกำลังเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ ทั้งทางถนน ราง น้ำและอากาศ โดยใช้เงินทุนมากกว่า 7 ล้านล้านเยนในระยะ 8 ปี เพื่อลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ และส่งเสริมความเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและอนุภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ
รัฐบาลไทยได้ลงนามในบันทึกความร่วมมือ (Memorandum of Cooperation – MOC) กับญี่ปุ่น เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเส้นทางราง 3 เส้นทาง เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้แก่ เส้นทางรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ เส้นทางรถไฟกาญจนบุรี – กรุงเทพฯ – อรัญประเทศและแหลมฉบัง และเส้นทางแม่สอด – มุกดาหารตามระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก – ตะวันตก
ไทยกำลังผลักดันการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่ชายแดน 6 จังหวัดตามระเบียงเศรษฐกิจที่สำคัญของอนุภูมิภาค ภายในปลายปีนี้ ได้แก่ จ. ตาก ติดกับเมียนมาร์ จ. มุกดาหาร และ จ. หนองคาย ติดกับ ลาว จ. สระแก้ว และ จ.ตราด ติดกับกัมพูชา และ จ. สงขลา ติดกับมาเลเซีย จึงขอเชิญชวนให้นักลงทุนญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในเขตเศรษฐกิจเหล่านี้ ซึ่งจะสามารถเชื่อมโยงธุรกิจและอุตสาหกรรมไปยังเขตเศรษฐกิจและพื้นที่อุตสาหกรรมในประเทศเพื่อนบ้าน เป็นฐานการผลิตเดียวกัน เกิดผลประโยชน์ร่วมกัน
หากบริษัทใดของญี่ปุ่นมีข้อเสนอเกี่ยวกับการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษไทย เพื่อเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้าน นายกรัฐมนตรีพร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นของท่าน เพื่อปรับใช้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป
ไทยหวังให้ประเทศในอนุภูมิภาคนี้เป็นผู้นำแห่งความร่วมมือที่เติบโตไปด้วยกันมากกว่าที่จะเป็นคู่แข่งกัน
โดยนายกรัฐมนตรีมีความยินดีที่จะได้เป็นสักขีพยานในการลงนามในบันทึกแสดงเจตจำนง (Memorandum of Intention – MOI) ระหว่างเมียนมาร์ – ไทย – ญี่ปุ่น สำหรับการพัฒนาโครงการทวาย ในช่วงบ่ายวันนี้ เขตเศรษฐกิจพิเศษและท่าเรือน้ำลึกทวายจะเป็นประตูการค้ายุทธศาสตร์สำคัญของภูมิภาคออกสู่มหาสมุทรอินเดีย
ขณะนี้ ไทยกำลังเร่งพัฒนาการเชื่อมต่อกับทวาย ทั้งทางรางที่กำลังร่วมมือกับรัฐบาลญี่ปุ่น และทางถนนจากชายแดนไทยไปยังทวาย ซึ่งรัฐบาลไทยได้เห็นชอบวงเงินจำนวน 16,500 ล้านเยนแล้ว โดยจะเชี่อมโยงทวายกับอีสเทิร์น ซีบอร์ด (Eastern Seaboard) ต่อไปยังกัมพูชาและเวียดนาม ซึ่งไทยหวังว่า ภาคเอกชนญี่ปุ่นจะสนับสนุนโครงการทวายอย่างเต็มที่
นายกรัฐมนตรียังได้แสดงความชื่นชมนโยบายของบริษัทญี่ปุ่นที่ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา นวัตกรรม และเทคโนโลยี ตลอดจนการประกอบกิจการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ในกรอบลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ไทยให้ความสำคัญต่อการร่วมทุนระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน (PPP) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอนุภูมิภาค และให้ภาคเอกชนสามารถมีส่วนร่วม ในโครงการต่าง ๆ ได้มากขึ้น เพื่อส่งเสริมการเชื่อมโยงในอนุภูมิภาคและอาเซียน
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเชิญชวนนักลงทุนวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (SMEs) ญี่ปุ่นมาลงทุน ในอนุภูมิภาคมากขึ้น โดยเฉพาะใน อุตสาหกรรมการเกษตร เกษตรแปรรูป การรีไซเคิล พลังงานทดแทน และอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลญี่ปุ่นที่ส่งเสริมการลงทุนของ SMEs ในต่างประเทศ โดยเฉพาะในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงในฐานะฐานการผลิตส่วนขยาย
รัฐบาลไทยยังตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และพร้อมที่จะร่วมมือกับภาคเอกชน ประเทศที่เกี่ยวข้อง และหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาในการพัฒนาแรงงานฝีมือในลุ่มน้ำโขง เพื่อตอบสนองความต้องการของภาคการผลิตและรองรับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่ผ่านมา ไทยได้จัดฝึกอบรมในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ยานยนต์ และขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดตั้งศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานชายแดนเพื่อรองรับการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวในเขตเศรษฐกิจพิเศษ
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเชิญชวนนักธุรกิจญี่ปุ่นให้มีส่วนร่วมในการสร้างความเจริญอย่างมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืนของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลางต่อไป
กลุ่มวิเทศสัมพันธ์ สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th