สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC ชี้แจงความคืบหน้ากรณี "สแกนม่านตา แลกเหรียญคริปโทฯ" ว่า ธุรกิจดังกล่าว ไม่ได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด คือ ผู้ให้บริการได้ใช้วิธีจูงใจประชาชนด้วยการมอบเหรียญคริปโทฯ เป็นค่าตอบแทน เพื่อแลกกับความยินยอมในการเก็บรวบรวมข้อมูลม่านตา ซึ่งถือได้ว่าเป็นการขอความยินยอมที่ไม่เป็นไปโดยอิสระตามที่กฎหมายกำหนด
นอกจากนั้น การแจ้งวัตถุประสงค์ในขั้นตอนการขอความยินยอม แจ้งว่าเพื่อยืนยันความเป็นมนุษย์เท่านั้น แต่จากการตรวจสอบพบว่า ผู้เคยสแกนม่านตาไปแล้ว ไม่สามารถสแกนซ้ำได้ จึงชี้ให้เห็นว่าการดำเนินการดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อยืนยันถึงตัวบุคคลที่สแกนไปแล้วด้วย
ดังนั้น การใช้ข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว จึงเกินขอบเขตวัตถุประสงค์ที่ขอความยินยอมตั้งแต่แรก
จากการพิจารณาพยานเอกสาร พยานวัตถุ และคำชี้แจงของผู้ให้บริการ สคส. จึงได้มีคำสั่งทางปกครองดังนี้
1. ให้ผู้ให้บริการและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการเก็บข้อมูลม่านตา "ระงับ" หรือ "งด" การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบการสแกนม่านตา เพื่อรับเหรียญคริปโทฯ เพิ่มเติมโดยทันที และรายงานผลการดำเนินการสคส. ภายใน 7 วัน
2.ให้ผู้ให้บริการและบุคคลที่เกี่ยวข้อง ลบทำลายข้อมูลม่านตา และข้อมูลส่วนบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องของประชาชน 1.2 ล้านคนทั้งหมด เพื่อป้องกันการโอนย้ายถ่ายเทข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวไปยังต่างประเทศ โดยไม่ถูกกฎหมาย
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากการตรวจพบการกระทำความผิดด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวแล้ว ยังมีประเด็นที่น่าสงสัยอื่น ๆ เช่น กรณีมีขบวนการจ้างคนมาสแกนม่านตาแลกเหรียญ เพื่อนำไปให้บุคคคอื่นใช้ โดยการตรวจสอบขยายผลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตำรวจไซเบอร์ ได้ตรวจพบและมีการจับกุมผู้รับแลกเหรียญดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาตมาแล้วหลายราย จึงเป็นเหตุสงสัยว่าอาจมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความผิดตามกฎหมายอื่น ๆ อีก ซึ่งในส่วนนี้ จะได้สืบสวนขยายผลโดยเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และเจ้าที่หน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป
การมีคำสั่งให้ดำเนินการดังกล่าว เป็นไปเพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนที่รั่วไหล และไม่ให้นำเอาข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวไปใช้โดยไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจนำไปสู่การซื้อขาย หรือใช้ประโยชน์ทางพาณิชย์โดยไม่ถูกต้อง โดยคำวินิจฉัยดังกล่าว เป็นไปตามกรอบกฎหมายของพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA) และเป็นไปตามมาตรการสากล โดยจากการตรวจสอบเบื้องต้น พบประเทศอื่น ๆ ไม่น้อยกว่า 8 ประเทศ ได้แบนการดำเนินการนี้ไปแล้วเช่นกัน โดยประเทศที่มีคำสั่งระงับชัดเจน 5 ประเทศ ได้แก่ เยอรมนี, สเปน, เกาหลีใต้, อินโดนีเซีย และบราซิล
ขณะที่ World ได้ออกประกาศว่าได้รับจดหมายจาก PDPC จึงได้ระงับกระบวนการยืนยันความเป็นมนุษย์จริงในประเทศชั่วคราว ซึ่งการระงับการดำเนินการในครั้งนี้จะส่งผลกระทบในทางบวกต่อคนไทยหลายส่วน ที่ได้ใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยปกป้องตนเองจากการหลอกลวง การขโมยข้อมูลส่วนบุคคล และภัยคุกคามจากการฉ้อโกงที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณค่าในชีวิตประจำวัน
บริษัทตระหนักถึงผลบังคับใช้ของกฎหมาย โดยจะเดินหน้าดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของประเทศไทยอย่างครบถ้วน ผ่านกระบวนการตรวจสอบและปฏิบัติให้สอดคล้องกับ PDPA ตลอดรอดฝั่ง บริษัทฯ ได้ให้ข้อมูลและความร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแลอย่างเปิดเผย โปร่งใส และตรงไปตรงมาในทุกขั้นตอน
นายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ คนที่สแกนม่านตาไปแล้วมีความเสี่ยง เพราะมีการเก็บข้อมูลไปแล้ว แม้จะสั่งให้ลบ แต่ลบได้เฉพาะต้นฉบับ และไม่สามารถพิสูจน์ตรวจสอบได้ว่าถูกคัดลอกสำเนาไว้หรือไม่ และในอนาคตคงจะเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการนำการสแกนม่านตามาพัฒนาใช้ยืนยันตัวตนจริง ๆ เรื่องการลบข้อมูลม่านตาได้มีคำสั่งไปแล้วตั้งแต่อาทิตย์ก่อน ในส่วนของการปรับน่าจะมีความคืบหน้าไม่เกิน 2 อาทิตย์ ส่วนเรื่องเหรียญเป็นอำนาจของก.ล.ต.
กระบวนการก่อนหน้านี้ คือ ทางบริษัทได้เข้ามาขออนุญาตเก็บข้อมูลกับทาง ETDA และ PDPC ซึ่งทั้งสองหน่วยงานไม่ได้อนุญาต แต่บริษัทก็ยังไปดำเนินการต่อ และอ้างว่าไม่ได้เก็บข้อมูลเพื่อยืนยันตัวตน เก็บเพื่อยืนยันว่าเป็นมนุษย์แล้วลบ แต่เราพิสูจน์ทราบว่าเขาเก็บข้อมูล
"นี่เป็นเรื่องสำคัญและมีผลกระทบในวงกว้าง เนื่องจาก Worldcoin ตามกฎหมาย Digital Asset ในปัจจุบันมีมูลค่าสูงถึงประมาณ 10,000 ล้านบาท ในส่วนของตัวเลขข้อมูลน่าจะมากกว่า 1.2 ล้านคน เพราะหลังจากเก็บข้อมูลหรือตัวเลขนี้มาก็มีการสแกนเพิ่มอีก ขณะนี้กำลังพิจารณามูลค่าที่เหมาะสมในการปรับต่อ ID ซึ่งมูลค่าสูงสุด 5 แสนถึง 5 ล้านบาท ต่อ ID ซึ่งมองว่าสามารถปรับได้สูงสุด เนื่องจากการสแกนม่านตาเป็นการยืนยันตัวตนขั้นสูงสุดแล้วเทียบเท่า DNA มากกว่าลายนิ้วมือด้วยซ้ำ" นายไชยชนก กล่าว