คอลลิเออร์สฯ มองตลาดคอนโดฯ H2/60 ชะลอตัวจาก H1 ตามกำลังซื้อ,ผู้ประกอบการหันพัฒนาโครงการเล็กลง

ข่าวทั่วไป Tuesday July 11, 2017 15:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสุรเชษฐ กองชีพ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เชั่นแนล ประเทศไทย เปิดเผยว่า การเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดในช่วงครึ่งหลังปีนี้ อยู่ที่ระดับ 19,000-20,000 ยูนิต แนวโน้มชะลอตัวจากการช่วงครึ่งปีแรก ที่มีการเปิดตัวโครงการ 26,000 ยูนิต เนื่องจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวตามกำลังซื้อ หลังภาพรวมของเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมาทรัพย์ต่าง ๆ ชะลอการเปิดโครงการคอนโดมิเนียม

อย่างไรก็ตามภาพรวมทั้งปีนี้ คาดว่าการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมจะอยู่ที่ระดับ 45,000 ยูนิต หรือเพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อนที่เปิดโครงการคอนโดมิเนียม 40,000 ยูนิต

"ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมครึ่งปีแรก ดีมานด์กับซัพพลายในตลาดไม่เป็นในทิศทางเดียวกัน เพราะกำลังซื้อที่ชะลอตัวจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวดี มีโครงการเปิดใหม่ทั้งหมด 26,000 ยูนิต และขายไปเพียง 50% เท่านั้น ซึ่งมีบางโครงการขายหมด บางโครงการเหลือขายเยอะก็มี ทำให้ครึ่งปีหลังผู้ประกอบการอาจจะเปิดโครงการได้ไม่มากเท่ากับครึ่งปีแรก เพื่อรอดูสถานการณ์"นายสุรเชษฐ กล่าว

นายสุรเชษฐ กล่าวอีกว่า โครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดใหม่นั้น ผู้ประกอบการจะหันมาเน้นพัฒนาโครงการระดับราคา 50,000-100,000 บาท/ตารางเมตร มากขึ้นกว่าปีก่อนที่ส่วนใหญ่เปิดโครงการในระดับราคาขายเฉลี่ยมากกว่า 100,000 บาท/ตารางเมตร เนื่องจากเป็นระดับราคาที่มีลูกค้าสามารถเข้าถึงได้มาก ในภาวะที่กำลังซื้อยังชะลอตัว อีกทั้งการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่จะเน้นไปเปิดในเส้นทางรถไฟฟ้าสายใหม่ที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และออกจากเขตกรุงเทพฯชั้นในมากขึ้น เพราะที่ดินมีราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับกรุงเทพฯชั้นใน ทำให้ผู้ประกอบการสามารถทำราคาขายได้ โดยแนวรถไฟฟ้าที่เห็นว่าผู้ประกอบการหลาย ๆ รายจะเปิดโครงการกันมากขึ้น คือ แนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงจรัญสนิทวงศ์ และเพชรเกษม ซึ่งจะมีจำนวนยูนิตเปิดเพิ่มในครึ่งปีหลังอีก 6,000-7,000 ยูนิต

ส่วนภาพรวมปริมาณคอนโดมิเนียมในปัจจุบันมีแนวโน้มที่เกือบจะล้นตลาด แต่ยังเป็นการล้นตลาดในบางทำเล โดยเฉพาะตามแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง ซึ่งปัจจุบันยังมีจำนวนยูนิตเหลือขายรวม 4,000 ยูนิต ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้ระยะเวลาในการระบายออกไปอีกราว 1 ปี หรือคาดว่าจะระบายได้หมดภายในปี 61 ส่วนอีกหนึ่งทำเลที่อยู่ในภาวะล้นตลาดเช่นเดียวกัน คือแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียวใต้ ตั้งแต่สถานีสำโรงเป็นต้นมา ที่มีจำนวนยูนิตเหลือขายสูงถึง 4,307 ยูนิต เป็นผลมาจากการที่ผู้ประกอบการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมกระจุกตัวหลายโครงการ ทำให้มีจำนวนซัพพลายเพิ่มมากขึ้นกว่าดีมานด์ในย่านนั้น

ด้านภาพรวมการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมในปัจจุบัน มองว่าการลงทุนสำหรับนักลงทุนที่ซื้อเพื่อเก็งกำไรจะเผชิญกับการลงทุนที่มีความยาก และมีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น เพราะปัจจุบันปริมาณในตลาดมีเหลืออยู่ค่อนข้างมาก และยังมีการเปิดโครงการใหม่ของผู้ประกอบการออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ที่มีความสนใจซื้อคอนโดมิเนียมมีตัวเลือกให้ตัดสินไจมากขึ้น

ส่วนนักลงทุนที่ซื้อเพื่อปล่อยเช่าในปัจจุบัน โครงการในกรุงเทพฯ ย่านใจกลางธุรกิจ (CBD) ให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 4-5% ซึ่งถือเป็นระดับให้ผลตอบแทนมากที่สุดในโซนดังกล่าว ทำให้มีความน่าสนใจสำหรับการซื้อเพื่อปล่อยเช่าน้อยมาก ขณะที่คอนโดมิเนียมที่อยู่นอกพื้นที่ CBD ให้อัตราผลตอบแทนจากการเช่าสูงกว่า 4-5% ทำให้ยังมีความน่าสนใจลงทุนอยู่ เพราะผู้ซื้อโครงการซื้อได้ในราคาที่ไม่สูงมาก ทำให้มีต้นทุนไม่สูงและให้ผลตอบแทนที่ดี

ทั้งนี้ มองว่าการลงทุนโดยการสร้างดีมานด์เทียมจากการเน้นการขายใบจอง สำหรับการขายโครงการคอนโดมิเนียมในช่วงก่อนหน้านี้ถือว่าได้สร้างความเสียหายให้แก่ภาพรวมทั้งตลาดมาหลายปี เพราะลูกค้าที่จองซื้อไปเมื่อขายต่อไม่ได้ก็ไม่มีการโอน ทำให้มีจำนวนยูนิตที่เหลือขายในตลาดอยู่ค่อนข้างมาก และเป็นภาระไปสู่ผู้ประกอบการที่จะต้องหาวิธีระบายสินค้าออก ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการในตลาดสามารถปรับตัวได้ โดยสามารถทำควบคู่ไปกับการขายโครงการที่เปิดใหม่ ส่วนราคาที่ดินยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในทุก ๆ ปี ตามการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้า และการเปิดโครงการของผู้ประกอบการ แต่แนวโน้มราคาขายโครงการในปัจจุบันมีราคาขายต่อยูนิตที่ลดลงจากปีก่อน เพราะผู้ประกอบการหันมาขายโครงการในระดับราคาที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้มาก เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อในปัจจุบัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ