นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน อภิปรายพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ว่า สิ่งที่คาดหวังจากการแถลงของนายกรัฐมนตรี คืออยากให้นายกฯ ลงมือปรับคำแถลงนโยบายด้วยมือของท่านเอง ไม่ใช่คำแถลงเดิม ๆ ที่สำนักงบประมาณเขียนมาให้ จึงตั้งคำถามว่าเพราะนายกไม่ปรับ งบเลยไม่เปลี่ยน คนไทยจึงต้องรับกรรมหรือไม่
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ภาพรวมงบปี 69 แสดงสุขภาวะการคลังของประเทศในปัจจุบัน แม้ปีนี้รัฐบาลเบ่งงบจนเกือบเต็มกรอบ แต่เรายังคงเหลืองบประมาณไปใช้กับโครงการใหม่ ๆ ได้น้อย โดยภาพรวมงบปี 69 เป็นปีที่สองติดต่อกันที่รัฐบาลเพื่อไทยตั้งงบสูงเกือบชนเพดาน โดยกำหนดกรอบงบประมาณรายจ่ายไว้ที่ 3.78 ล้านล้านบาท ในขณะที่มีการประมาณรายได้ภาครัฐไว้เพียง 2.92 ล้านล้านบาท ส่งผลให้ต้องกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลถึง 8.6 แสนล้านบาท คิดเป็น 4.5% ต่อ GDP
ในปี 68 รัฐบาลเพื่อไทยทำสถิติกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลเป็นสัดส่วนต่อ GDP ที่สูงที่สุดในรอบ 36 ปี (ปี 2532) สิ่งที่น่ากังวลไม่ใช่เรื่องการกู้ แต่เป็นเรื่องที่รัฐบาลใช้เงินเกินตัวโดยไม่มีแผนการหารายได้ และการลงทุนมารองรับ แม้ว่าปีนี้รัฐบาลเบ่งงบจะเกือบชนเพดาน แต่งบที่ใช้ได้จริงมีน้อย มีพื้นที่ว่างงบประมาณเหลือ 28% หรือ 1.06 ล้านล้านบาท เพราะรายจ่ายบุคลากรเพิ่มจากเดิม งบชำระหนี้เพิ่ม งบผูกพันแม้จะลดลงเล็กน้อยแต่ก็ยังเป็นภาระต่อเนื่อง รวมเงินอุดหนุนท้องถิ่น เงินชดใช้คงคลังต่าง ๆ
ดังนั้น สถานการณ์ภาพรวมของไทยที่มีพื้นที่การคลังให้กู้ได้อีกไม่มาก มีพื้นที่งบประมาณให้โครงการใหม่ ๆ น้อย ประชาชนจึงต้องการรัฐบาลที่รู้จักการใช้อำนาจ ไม่ใช่รัฐบาลที่เป็นแหล่งรวมของผู้แสวงหาอำนาจที่มารวมตัวกันแสวงหาประโยชน์
"เพราะฉะนั้น งบประมาณปี 69 จึงเป็นตัวสะท้อนรัฐบาล ว่า บริหารประเทศแบบไร้ทิศ ไร้ทาง ไร้ภาพ ไม่ได้จัดงบเพื่อหาทางออกให้ประเทศ แต่ปล่อยให้การบริหารราชการแผ่นดินเดินไปอย่างสะเปะสะปะ อยู่ในระบบของราชการประจำ เพราะใช้เวลาไปกับการแก้ปัญหาความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล" นายณัฐพงษ์ กล่าว
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ตอกย้ำได้ดีที่สุดอยู่ในงบปี 68 ที่มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ออกมาบอกว่า กำลังจะเปลี่ยนงบดิจิทัลวอลเล็ต ไปใช้กับการลงทุนในระยะสั้น 1.57 แสนล้านบาท ฟังเผิน ๆ เหมือนคิดใหม่ทำใหม่ แต่ในรายละเอียดวิธีการจัดการจริงตอกย้ำว่ารัฐบาลไม่มีภาพในหัว เพราะเป็นการโยนเงินให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 7,850 แห่งทั่วประเทศส่งคำของบให้ทันภายใน 3 วัน และถึงแม้ในภายหลังจะขยับกรอบระยะเวลาแล้วก็ตาม วิธีการแบบนี้แสดงให้เห็นว่านโยบายรัฐบาลไม่มีแผนแม่บท ไม่มีวิสัยทัศน์ร่วม ไม่มีแผนระดับประเทศ
"นี่ไม่ใช่การกระจายอำนาจ แต่เป็นการกระจายภาระให้ท้องถิ่นคิดแทนรัฐบาล หรือตั้งคำถามอีกอย่างว่าอาจเป็นการกระจายผลประโยชน์ให้กลุ่มเครือข่ายที่ใกล้ชิดรัฐบาลที่รู้ข่าวล่วงหน้า จึงสามารถจัดทำโครงการ คำขอได้ทันในกรอบระยะเวลาอันสั้นใช่หรือไม่ ทั้งหมดสะท้อนว่าเรากำลังมีรัฐบาลที่ขาดเจตจำนงในการบริหารประเทศ การอภิปรายงบ 69 นี้ พวกเราเตรียมโดยใช้ข้อมูลงบปี 68 เพราะไส้ในปี 69 แทบไม่เปลี่ยน ความไร้ภาพนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากความไร้สภาพของรัฐบาลในการบริหารประเทศ พรรคประชาชนและพรรคร่วมฝ่ายค้าน จึงขอใช้เวทีนี้เพื่ออภิปรายชี้ให้ทุกคนเห็นว่า สังคมไทยยังมีความหวัง ประเทศไทยยังมีทางออก ประชาชนคู่ควรกับร่างพ.ร.บ.งบฯ ที่ดีกว่านี้" นายณัฐพงษ์ กล่าว
นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า โลกนี้เปลี่ยนไปแล้ว นโยบายอะไรที่รัฐบาลเคยใช้ได้ประสบผลสำเร็จในอดีต นำมาใช้ในปัจจุบันไม่ได้แล้ว เครื่องจักรสำคัญในอดีตทั้งท่องเที่ยว ส่งออก เกษตร ได้รับผลกระทบหมด ได้รับแรงกระแทกจากทุกทาง อย่างไรก็ดี งบประมาณฉบับนี้ยังเป็นงบสูตรเดิม แต่ปัญหาที่เจออยู่ตอนนี้ไม่ใช่วิกฤติทางการคลังแต่เป็นวิกฤติทางการเมือง
"การผลิต และการบริโภคโตสวนทางกัน การแจกเงินแบบเดิมใช้ไม่ได้แล้ว, การส่งออก เครื่องจักรที่หาเงินเข้าประเทศกำลังทรุดหนักจากสงครามการค้าสหรัฐฯ ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ปะทะกับโครงสร้างที่อ่อนแอของไทย ทั้งขาดดุลต่อเนื่อง เจอปัญหาคลัง ท่องเที่ยว ส่งออก เกษตรกระทบทุกด้าน สินค้าเถื่อนทะลัก ธุรกิจปิดตัว แรงงานเลิกจ้าง" นายณัฐพงษ์ กล่าว
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ประเทศไทยขณะนี้ไม่ได้ขาดเงิน แต่ขาดรัฐบาลที่บริหารประเทศเป็น หากเห็นเงินในกระเป๋าและนำมาบูรณาการใช้ มองเห็นเงินแผ่นดินที่อยู่ในหน่วยงานของรัฐทุกหน่วยให้พุ่งเป้าไปในทิศทางเดียวกัน จะจัดสรรงบประมาณได้ดีกว่านี้ เชื่อว่าการปฎิรูปงบประมาณจะสามารถสร้าง 5 ด้านให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ ดังนี้
1. จะได้เห็นการจัดทำงบประมาณที่มีการรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างสมดุล มีพื้นที่ทางการคลังเพื่อรองรับอนาคต
2. จะเห็นการลงทุนในเครื่องจักรเศรษฐกิจใหม่ และฟื้นฟูเศรษฐกิจเดิม เช่น ลงทุนในเทคโนโลยี ฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยว ยกระดับ SME ให้แข่งขันได้ พัฒนาแหล่งน้ำในเขตพื้นที่นอกชลประทาน เป็นต้น
3. จะได้งบประมาณที่ดูแลคุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม การศึกษา และสวัสดิการที่ทั่วถึงและเพียงพอ
4. จะเห็นงบประมาณที่โปร่งใส ทั้งเงินในและเงินนอกงบประมาณ ที่แฝงตัวในธุรกิจกองทัพ รัฐวิสาหกิจ และรัฐพาณิชย์ต่าง ๆ ถูกเปิดเผยให้มีการตรวจสอบ มองเห็นงบประมาณทั้งก้อนทั้งรายได้ รายจ่าย และภาระการคลังของรัฐที่ไม่ได้นับรวมในนิยามหนี้สาธารณะ รวมถึงมองเห็นข้อมูลตั้งแต่ชั้นคำของบประมาณ
5. จะได้เห็นงบประมาณที่ท้องถิ่นที่มีสัดส่วนรายได้ต่อรัฐส่วนกลางที่เพิ่มขึ้น ผ่านการเร่งรัดการถ่ายโอนภารกิจไปพร้อมเงิน และเงินไปพร้อมคน ส่งเสริมให้ท้องถิ่นพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนและเป็นกลไกเสริมในการพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกับรัฐบาล ไม่ใช่งบประมาณท้องถิ่นปัจจุบันที่สัดส่วนไม่เคยเพิ่ม
"ทั้งหมดคือความล้มเหลวเชิงโครงสร้าง ทั้งรัฐบาลและงบล้มเหลว ประชาชนจึงได้งบประมาณสูตรเดิม ซึ่งการทำงบสูตรใหม่ทำได้ โดยผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและบริหารงบประมาณ มีร่างพ.ร.บ.วิธีการงบประมาณฉบับใหม่ที่จะทำให้ได้ทั้ง 5 ข้อ และร่างรัฐธรรมนูญปลดล็อกท้องถิ่น ทั้งนี้ ถึงเสนอกฏหมายสองฉบับ ก็คิดว่าไม่ผ่านสภา เพราะการเมืองไทยยังล้มเหลว รัฐบาลตั้งงบเพื่อนำไปใช้ไม่ได้คิดงบเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงใด ๆ งบส่วนใหญ่ยังเอาไปตัดถนน ขุดคลอง สร้างตึกอยู่ ไม่เห็นการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์" นายณัฐพงษ์ กล่าว
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า รัฐบาลต้องบริหารเงินแผ่นดินเป็น หรือเงินที่อยู่ในหน่วยงานของรัฐทุกหน่วยทั้งงบลงทุนรัฐวิสาหกิจ งบท้องถิ่น งบประมาณแผ่นดิน และเอกชนและประชาสังคม รวม 7-8 ล้านล้านบาทต่อปี คิดเป็น 40% ต่อ GDP แต่ปัญหาคือไม่มีใครเชื่อมโยงเงินเข้าด้วยกัน ลงทุนไปในทิศทางเดียวกัน
"เงิน 1 บาทจากรับ สามารถกลายเป็นหลาย 10 บาทในระบบเศรษฐกิจ หากใช้ในรูปแบบการจัดซื้อจัดจ้างแบบมียุทธศาสตร์ โดยวิธีเปลี่ยนการตั้งงบให้ได้ผลทวีคูณ เช่น งบช่วยเกษตร เปลี่ยนจากแจกเงินเป็นเงินลงทุนที่มีเป้าหมาย แต่นายกไม่ปรับ ไม่ตัดโครงการที่ซ้ำซ้อน ทำให้งบประมาณไม่เคยเปลี่ยน เช่น งบซอฟต์พาวเวอร์ ที่หมดไปกับการจัดอีเวนต์และพีอาร์ เป็นต้น ทั้งนี้ ขอเตือนนายกว่า วันนี้ไม่ใช่แค่การจัดทำงบที่ผิดพลาด แต่เป็นกระจกสะท้อนตัวท่านว่าไม่มีเป้าหมายให้ประเทศ ซึ่งได้ละเลยหน้าที่การเป็นผู้นำไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งที่ปี 69 ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิม แต่เรายังคงมีงบประมาณสูตรเดิม เปรียบเสมือนว่าประเทศไทยไม่มีนายกในประเทศนี้" นายณัฐพงษ์ กล่าว
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ในหนังสือ "Why Nations fail" บอกไว้ว่า ประเทศที่ล้มเหลวไม่ได้ล้มเหลวจากการขาดเงิน แต่ล้มเหลวเพราะชนชั้นนำจงใจรักษาระบบที่ตนเองได้ผลประโยชน์ไว้ ไม่เคยปรับเปลี่ยนเพื่ออนาคตของคนส่วนใหญ่และประชาชนในประเทศ ประเทศไทยดิ่งไกลมาก เพียงแค่ช่วงอายุคน จากที่ไทยเคยเกือบเป็นเสือตัวที่ 5 ตอนนี้เกือบเป็นรัฐล้มเหลว
"ถ้ายังจัดทำงบประมาณแบบเดิมที่ไม่เปลี่ยน นายกทำงานแบบเดิมที่ไม่ปรับ เราจะไม่ใช่แค่เกือบ แต่เราจะกลับลุกขึ้นมาไม่ได้อีก วันนี้ถึงแม้ไทยยังไม่ใช่รัฐล้มเหลวที่สมบูรณ์ โครงสร้างรัฐอาจยังไม่พัง แต่ความเชื่อมั่นของประชาชนพังไปแล้ว เมื่อโครงสร้างรัฐไม่เปลี่ยน คนในอำนาจไม่ปรับ สุดท้ายคนที่รับกรรมคือคนไทยทั้งประเทศ ในเมื่อท่านคิดเองไม่ได้ 3 วันจากนี้จะมาช่วยชี้ช่องตัด บอกช่องใช้ ช่วยหาเงิน และบอกกลวิธีในการใช้งบทุกภาคส่วนรวมถึงเงินแผ่นดิน เพราะในสถานการณ์ประเทศที่วิกฤติที่สุด เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ในฐานะที่เป็นสส. จึงไม่ใช่การอภิปรายรัฐบาลที่ล้มเหลวอยู่แล้วให้ล้มเหลวมากขึ้น แต่คือการทำหน้าที่เพื่อยืนยันต่อประชาชนทั้งประเทศว่า ยังมีความหวัง ทางออก ลูกหลานไทยยังมีอนาคต ความหวังของประเทศคือรัฐบาลที่รู้จักใช้อำนาจ" นายณัฐพงษ์ กล่าว