นายกฯ โต้"เฉลิม"ยืนยันจัดสรรงบ'53 ที่จำกัดให้เป็นประโยชน์ต่อชาติ

ข่าวการเมือง Wednesday June 17, 2009 19:23 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ชี้แจงการอภิปรายของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย(พท.) ถึงการใช้งบประมาณเพื่อดำเนินโครงการต่างๆ ของรัฐบาล โดยยืนยันว่ารัฐบาลดำเนินนโยบายที่ถูกต้องภายใต้การจัดสรรงบประมาณปี 2553 ที่ค่อนข้างจำกัดให้กับโครงการต่าง ๆ ที่มีความสำคัญต่อประเทศ

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นโยบายด้านสินค้าเกษตรที่รัฐบาลมีแนวคิดจะปรับรูปแบบการแทรกแซงสินค้าเกษตรมาเป็นการประกันราคาขั้นต่ำ โดยจะไม่ใช้วิธีการรับจำนำตามแบบเดิม เพราะเชื่อว่าวิธีดังกล่าวทำให้รัฐบาลต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก และท้ายสุดผลประโยชน์ไม่ได้ตกถึงมือเกษตรกรเท่าที่ควร อีกทั้งยังเป็นการเปิดช่องให้มีการทุจริตได้มากขึ้น

ส่วนโครงการจัดหารถเมล์ NGV ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.) นั้น ถือว่ารัฐบาลได้ทำถูกต้องแล้วที่ส่งเรื่องให้คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ไปศึกษาความเหมาะสมว่าควรจะเป็นการเช่าหรือซื้อก่อนที่ท้ายสุดรัฐบาลจะเป็นผู้ตัดสินใจ ซึ่งเรื่องนี้จะต้องทำให้เกิดความรอบคอบมากที่สุด โดยมีเป้าหมายเพื่อมุ่งปฏิรูป ขสมก.และแก้ปัญหาการขาดทุนซ้ำซาก

อีกทั้งไม่ใช่เป็นการให้ความสำคัญเฉพาะคนกรุงเทพฯ ตามที่ฝ่ายค้านกล่าวหา เพราะหากพิจารณาแล้วจะเห็นว่าโครงการต่างๆ ตามแผนการกู้เงินในกฎหมายทั้ง 2 ฉบับรวม 8 แสนล้านบาทนั้นส่วนใหญ่เป็นโครงการเพื่อประชาชนในต่างจังหวัดทั้งสิ้น เช่น แหล่งน้ำ, ถนน, รถไฟ, สถานีอนามัย และโรงเรียน เป็นต้น

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ประเด็นการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันที่ ร.ต.อ.เฉลิม อภิปรายว่าส่งผลให้ราคาสินค้าแพงขึ้นนั้น ยืนยันว่าจนถึงขณะนี้ยังไม่มีการส่งผ่านภาระภาษีไปให้ประชาชนแต่อย่างใด เพราะกระทรวงพลังงานได้ใช้กลไกของกองทุนน้ำมันในการดูแลเพื่อไม่ให้ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศปรับขึ้นจากผลของการขึ้นภาษีดังกล่าว

ขณะที่โครงการต้นกล้าอาชีพที่ฝ่ายค้านเห็นว่ารัฐบาลแก้ปัญหาไม่ตรงจุดนั้น นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า โครงการต้นกล้าอาชีพเป็นโครงการที่ฝึกทักษะให้แก่ผู้ที่ถูกเลิกจ้างจากสายการผลิตต่างๆ ดังนั้นโครงการนี้ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้ามาฝึกอาชีพ และสามารถแสวงหาโอกาสที่จะไปเริ่มต้นในสาขาวิชาชีพอื่นๆ ได้กว้างขวางขึ้น

สำหรับปัญหาการจัดการสิ่งแวดล้อมในพื้นที่มาบตาพุดที่ยังสร้างความสับสนให้แก่นักลงทุนนั้น รัฐบาลกำลังหาข้อยุติทางกฎหมายเนื่องจากพบว่ามีข้อติดขัดจากกฎหมายรัฐธรรมนูญ ในมาตรา 67 ที่ระบุว่าการดำเนินโครงการที่มีผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมต่อชุมชน จำเป็นต้องมีการรับฟังความคิดเห็นจากชุมชนและองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพก่อน ในขณะที่ปัจจุบันยังไม่มีองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่ตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ

สุดท้ายปัญหาเรื่องยาเสพติดนั้น ยอมรับว่ายังไม่พอใจผลงานในด้านนี้เท่าที่ควร แต่ไม่ได้หมายความว่าการดำเนินงานด้านการปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลไม่ได้ผล ซึ่งล่าสุดได้ให้หน่วยงานกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน(กอ.รมน.)ทำงานควบคู่กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.)สามารถยึดของกลางได้เป็นจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 42% อีกทั้งยืนยันว่ารัฐบาลไม่ใช่วิธีการฆ่าตัดตอน รวมทั้งจะเข้มงวดจริงจังกับการที่พบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปพัวพันกับยาเสพติดให้มากขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ