นายกฯหวังการค้าในกลุ่มอาเชียนเป็นตลาดเสรีมากขึ้นลดการพึ่งพายุโรป-สหรัฐ

ข่าวเศรษฐกิจ Monday November 22, 2010 11:27 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวสุนทรพจน์เปิดงาน สัมมนาทางธุรกิจ ASEAN ( ASEAN Business Forum 2010 ) ในหัวข้อ ความท้าทายของประเทศไทยในการก้าวสู่ชุมชนเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2015 ว่า การประชุมนักธุรกิจอาเซียน เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2558 หรือในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยได้เน้นย้ำถึงศักยภาพของกลุ่มประเทศอาเซียน เพียงแต่กลุ่มประเทศอาเซียนต้องมีการบูรณาการร่วมกันให้เป็นเศรษฐกิจเดียวกัน โดยต้องมีการกำหนดกลไกในการประสานงานที่แข็งแรงและกติกาที่เหมาะสมร่วมกัน เช่นมาตรการทางภาษีที่ไม่ควรทำให้เป็นอุปสรรคในความร่วมมือ และรวมถึงการสร้างความมีส่วนร่วมของระเทศในภูมิภาคด้วยการเชื่อมโยงกันทางตลาด โดยภาคเอกชนต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาศักยภาพของ SME ให้มีความเข้มแข็ง ซึ่งในปี 2558 จะมีการตั้งกองทุนเอสเอ็มอีในระดับภูมิภาคอาเซียน

"การจะเกิดเป็นประชาคมอาเซียนที่จะเกิดใน 5 ปีข้างหน้ายังต้องอาศัยความร่วมมือจากประเทศพันธมิตรซึ่งกลุ่มอาเซียนก็ต้องเปิดกว้างเพื่อประโยชน์สูงสุด และสร้างรูปแบบของเศรษฐกิจให้เป็นเครือข่ายเดียวกัน ต้องมีการเดินหน้าเชื่อมโยงตลาดเพื่อการพัฒนาในกลุ่มอาเซียน เน้นการเข้ามามีส่วนร่วมของภาคเอกชน โดยคาดหวังให้การค้าในกลุ่มอาเชียนเป็นตลาดเสรีมากขึ้น และลดการพึ่งพาตลาดจากยุโรป และสหรัฐอเมริกา"นายกรัฐมนตรี กล่าว

ในส่วนของรัฐบาลไทย มีความพร้อมที่จะทำงานร่วมกับภาคธุรกิจเอกชนเพื่อก้าวไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจ โดยเฉพาะธุรกิจ SME รัฐบาลไทยจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรม การพัฒนาคุณภาพ ประสิทธิภาพ การบริหารจัดการ และ การตลาด รวมถึงการเพิ่มคุณค่าให้กับผลิตภัณฑ์และการทำให้ผลิตภัณฑ์มีความแตกต่าง ประเทศไทยยังได้มีโครงการที่จะขยายการรับรู้เรื่องการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งมีเป้าหมายไปยังผู้ประกอบการรายใหม่ ซึ่งเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญ และเป็นกลุ่มคนที่มีศักยภาพที่จะขับเคลื่อนและเขย่าระบบเศรษฐกิจใหม่ ตลาดเดียวและฐานการผลิตกำลังเป็นรูปเป็นร่าง บนพื้นฐานกฏกติกาทางการค้าที่สอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และมีการประสานงานระดับนโยบายมหภาคในอาเซียน กล่าวคือ ชุมชนเศรษฐกิจอาเซียนเป็น สัญลักษณ์ที่แจ่มชัดของความุ่งมั่นที่เข้มแข็งและมั่นคงของอาเซียน ซึ่งเป็นรากฐานที่มั่นคง เพื่อการรวมตัวระดับภูมิภาคที่กว้างและเข้มแข็งขึ้นในเวทีต่อไป อีกทั้ง เป็นผลงานระหว่างประเทศและสถานะของอาเซียนที่พัฒนาขึ้นมา

"รัฐบาลไทยตระหนักว่าการกระตุ้นการมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจเอกชน โดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็กและบริษัทขนาดกลาง ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ว่าจะมีบางธุรกิจของไทยที่ได้ปรับตัวเพื่อรับประโยชน์จากการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอยู่บ้าง แต่รัฐบาลก็ยังสอดส่องดูแลธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางเหล่านั้นในด้านผลกระทบที่จะได้รับจากการหลอมรวมทางเศรษฐกิจและการเปิดเสรี ในฐานะที่เป็นเสมือนกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจ กลุ่มบริษัทขนาดย่อยและขนาดกลางไม่ควรถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง แต่ยิ่งกว่านั้น บริษัทเหล่านี้ควรมีส่วนร่วมที่จะเข้าสู่โอกาสของการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และควรสามารถปรับตัวได้กับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เราควรสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มบริษัท SME และในภาคการส่งออก กลุ่ม SME ต้องมีการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันสูงของตลาดในภูมิภาค" นายกฯ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ