นาริแมน เบห์ราเวช หัวหน้านักเศรษฐศาสศาสตร์จาก IHS Global Insight คาดว่า เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวราว 3.5 - 4% ในปี 2554 แต่เศรษฐกิจก็อาจจะมีความผันผวนมากขึ้น
เบห์ราเวชซึ่งจะเข้าร่วมประชุมเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ กล่าวให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวว่า เศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัวในจังหวะที่ดีขึ้นกว่าเดิม และโอกาสที่เศรษฐกิจโลกจะเสี่ยงที่จะเผชิญกับภาวะถดถอยแบบเลข 2 หลัก ก็ลดน้อยลงกว่าในช่วง 6 เดือนที่แล้ว พร้อมกล่าวว่า ข้อมูลเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของสหรัฐบ่งชี้ถึงแนวโน้มการขยายตัวที่ดีขึ้น และเศรษฐกิจในบางประเทศของยุโรป โดยเฉพาะเยอรมนี ก็กำลังขยายตัวค่อนข้างดีเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เบห์ราเวชเตือนว่า กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมและกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่กำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน โดยระบุว่า กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมกำลังเผชิญกับปัญหาท้าทายเรื่องการขาดดุลงบประมาณและสถานะการคลังที่ย่ำแย่ ขณะที่กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่กำลังเผชิญกับเงินเฟ้อที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ เบห์ราเวชคาดว่า ประเทศยุโรปอย่างน้อย 1 หรือ 2 ประเทศ ซึ่งอาจเป็นกรีซและไอร์แลนด์ จะต้องปรับโครงสร้างหนี้ในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้มูลค่าตราสารหนี้ภายในประเทศหดตัวลงด้วย
"มูลค่าของตราสารหนี้ที่ประเทศต่างๆในยุโรป เช่นกรีซ ถือครองอยู่นั้น จะลดลงราว 30-40% อย่างไรก็ตาม แทบจะไม่มีความเป็นไปได้ที่ประเทศเหล่านี้จะถอนตัวจากการเป็นสมาชิกของกลุ่มยูโรโซน" เขากล่าว"ส่วนประเด็นที่สำคัญกว่าสำหรับกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่คือ เงินเฟ้อ การที่จะรักษาอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวต่อเศรษฐกิจนั้น ถือเป็นความท้าทายด้านนโยบายของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ เช่นจีน บราซิล และอินเดีย" เบห์ราเวชกล่าวเบห์ราเวชยังกล่าวด้วยว่า ประเทศเหล่านี้จะต้องรักษาสมดุลระหว่างการฉุดอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำ และการไม่ปล่อยให้อัตราแลกเปลี่ยนภายในประเทศสูงขึ้นมากเกินไป พร้อมกับย้ำว่า อัตราเงินเฟ้ออาจจะพุ่งขึ้นจนเหนือการควบคุม หากกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ใช้ความพยายามไม่มากพอที่จะชะลอการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ
ต่อคำถามเรื่องแนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกนั้น เบห์ราเวชได้แสดงความเชื่อมั่นว่า ราคาจะยังคงปรับตัวสูงขึ้นในปี 2554
"ผมคาดว่าราคาวัตถุดิบหลายประเภทจะพุ่งขึ้นโดยเฉลี่ย 10% ในปี 2554 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากอุปสงค์ที่สูงขึ้นทั่วโลก มากกว่าที่จะเกิดจากการขาดแคลนอุปทาน กลุ่มตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะจีน อินเดีย และบราซิล เป็นลูกค้ารายใหญ่ที่มีฐานทางอุตสาหกรรมภายในประเทศที่กว้างมาก" เขากล่าวอย่างไรก็ตาม เบห์ราเวชกล่าวว่า การที่ราคาอาหารพุ่งขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ถือเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นชั่วคราว และจะกลับกลายเป็นปัญหาเล็กน้อยในไม่ช้า เนื่องจากฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนจะมีผลผลิตธัญพืชใหม่ๆเข้ามาในตลาด
บทสัมภาษณ์ โดย จาง ยูนาน