สำนักงานพลาธิการอินโดนีเซีย (Bulog) เตรียมรับซื้อข้าวจากเกษตรกรอย่างน้อย 3.5 ล้านตันในปีนี้ เพื่อบรรเทาแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ โดยผลผลิตข้าวที่รับซื้อมานั้นจะถูกนำไปเก็บไว้ในสต็อกจำนวน 1.5 ล้านตันและใช้เพื่อการซื้อขายในตลาด
เงินเฟ้อของอินโดนีเซียในเดือนม.ค.เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 7.02% เมื่อเทียบเป็นรายปี หลังจากที่พุ่งแตะ 6.96% ในเดือนธ.ค. เนื่องจากราคาพริกและข้าวปรับตัวสูงขึ้น
นายฮาร์ตา ราจาซา รัฐมนตรีประสานงานเศรษฐกิจของอินโดนีเซียกล่าวว่า ทาง Bulog จะเริ่มรับซื้อข้าวทั้งในระหว่างและหลังฤดูเก็บเกี่ยวซึ่งเริ่มต้นในเดือนก.พ.
"ในปีนี้เราจะเก็บสำรองข้าว 1.5 ล้านตัน ดังนั้นเราต้องขอรับซื้อข้าวจากเกษตรกรอย่างน้อย 3.5 ล้านตัน อีกทั้งยังต้องใช้เพื่อการซื้อขายในตลาดและแจกจ่ายให้กับผู้ที่ยากจน" รมว.ประสานงานเศรษฐกิจกล่าว พร้อมทั้งเสริมว่าอาจจะมีการปรับเพิ่มสต็อกข้าวขึ้นเป็น 2 ล้านตัน
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ความล้มเหลวของ Bulog ในการรับซื้อข้าวเมื่อปีที่ผ่านมาอันเนื่องมาจากปัญหาด้านคุณภาพนั้นถูกมองว่ามีส่วนทำให้ราคาข้าวปรับตัวสูงขึ้น แต่นายราจาซากล่าวว่า รัฐบาลมีการเปลี่ยนแปลงระเบียบข้อบังคับ
"ทาง Bulog ต้องซื้อดำเนินการรับซื้อข้าวโดยไม่เกี่ยงคุณภาพผลผลิต" ราจาซากล่าวทั้งนี้ นอกเหนือจากการรับซื้อข้าวแล้ว ภาวะเงินรูเปียห์ที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐยังเป็นปัจจัยที่หลายฝ่ายคาดว่าจะสามารถชดเชยแรงกดดันด้านเงินเฟ้อจากกระแสเงินทุนไหลเข้าที่เพิ่มสูงขึ้นได้อีกทางหนึ่ง
การแข็งค่าของเงินรูเปียห์เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้น และการให้คำมั่นของธนาคารกลางที่จะจับตาการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิดหลังจากที่มีการขึ้นดอกเบี้ยอย่างเหนือความคาดหมายเมื่อวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมานั้น ทำให้นักลงทุนทั่วโลกเชื่อว่า ธนาคารกลางมีท่าทีที่จริงจังในการสกัดกั้นแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ซึ่งภาวะเช่นนี้ได้ดึงดูดให้พวกเขาหวนกลับมาลงทุนในอินโดนีเซีย
ก่อนหน้านี้ นายฮาร์ตาและนักวิเคราะห์กล่าวว่า การเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่ในประเทศอาจช่วยบรรเทาแรงกดดันด้านเงินเฟ้อได้
ธนาคารกลางอินโดนีเซียคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 4 - 6% และเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ที่ 6 - 6.5% ซึ่งยังคงอยู่ในกรอบที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 6.4%