ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ตัดสินใจผ่อนคลายนโยบายการเงินลงอีก ด้วยการขยายวงเงินในโครงการซื้อสินทรัพย์เพิ่มเป็น 50 ล้านล้านเยน จากเดิมที่ 40 ล้านล้านเยน ในขณะที่บีโอเจกำลังเผชิญแรงกดดันเพิ่มมากขึ้นจากรัฐบาลให้ดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการควบคุมการแข็งค่าของเงินเยน
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า สมาชิกคณะกรรมการกำหนดนโยบายของบีโอเจ 9 รายมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ระดับ 0-0.1% ในการประชุมวันนี้
"กิจกรรมทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นกำลังกระเตื้องขึ้น ในขณะที่ภาวะตึงตัวฝั่งอุปทานอันเกิดจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 11 มี.ค.เริ่มคลี่คลายลง" บีโอเจระบุในแถลงการณ์ พร้อมกันนี้ได้เตือนว่า ความผันผวนของสกุลเงินและตลาดเงินอื่นๆอาจ "ส่งผลกระทบในแง่ลบต่อความเชื่อมั่นภาคเอกชนและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในญี่ปุ่น"การประชุมนโยบายของบีโอเจซึ่งเดิมมีกำหนดจัดขึ้นในวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ได้ถูกลดระยะเวลาลงเหลือ 1 วัน หลังจากที่รัฐบาลเข้าแทรกแซงตลาดเงินอย่างเร่งด่วนในช่วงเช้าวันนี้ เพื่อสกัดการแข็งค่าของค่าเงินเยนที่พุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐและสกุลเงินอื่นๆ ซึ่งเป็นปัจจัยที่บั่นทอนขีดความสามารถด้านการแข่งขันในกลุ่มผู้ส่งออกของญี่ปุ่น
การประสานความร่วมมือระหว่างรัฐบาลและบีโอเจในครั้งนี้มีขึ้นท่ามกลางความวิตกกังวลว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นจากเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิอาจหยุดนิ่งและเสื่อมถอยลงไปอีก หากทางการไม่สามารถหยุดยั้งการแข็งค่าของเงินเยนได้
อย่างไรก็ตาม มีผู้มองว่า บีโอเจมีทางเลือกอยู่ไม่กี่อย่างในการดำเนินนโยบายที่จะส่งผลโดยตรงต่ออัตราแลกเปลี่ยนเงินเยน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นถูกปรับลดลงมาอยู่ในระดับต่ำแล้ว
ทั้งนี้ ภายใต้โครงการซื้อสินทรัพย์นั้น บีโอเจตั้งเป้าผ่อนคลายเงื่อนไขการออกสินเชื่อด้วยการซื้อสินทรัพย์ทางการเงินเช่น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ และกองทุนอีทีเอฟ (exchange-traded fund) โดยโครงการนี้จัดตั้งขึ้นมาเพื่อดำเนินนโยบายที่จะส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยในระยะยาวและค่าชดเชยความเสี่ยงที่บริษัทต่างๆต้องจ่ายเมื่อมีการกู้เงิน
สำหรับการตัดสินใจครั้งล่าสุดนี้ บีโอเจจะขยายเงินทุนซื้อสินทรัพย์เพิ่มอีก 5 ล้านล้านเยนเป็น 15 ล้านล้านเยน พร้อมทั้งขยายหน่วยงานจัดหาเงินทุนที่คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ เพื่อใช้เป็นวงเงินกันสำรองอีก 5 ล้านล้านเยน เป็น 35 ล้านล้านเยน