นายดีฟี โจฮันยาห์ โฆษกธนาคารกลางอินโดนีเซียเปิดเผยว่า ยอดส่งออกของอินโดนีเซียไปยังกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ยอดส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐและยุโรปปรับตัวลดลง
รัฐบาลอินโดนีเซียตัดสินใจที่จะหาตลาดส่งออกใหม่ๆในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เพื่อบรรเทาความเสี่ยงจากภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในตลาดส่งออกเก่าแก่อย่างสหรัฐและยุโรป
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ส่วนแบ่งตลาดส่งออกของอินโดนีเซียไปยังจีนเพิ่มขึ้นแตะ 10.3% ในครึ่งแรกของปีนี้ จาก 9.7% ในปี 2552 ส่วนอินเดียอยู่ที่ 6.8% ในปีนี้จากระดับ 6.3% ในปี 2552 ไทยอยู่ที่ 3.3% จาก 2.7% และมาเลเซียอยู่ที่ 6.1% จาก 5.8%
สำหรับส่วนแบ่งตลาดส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าเก่าแก่อย่างสหรัฐ ลดลงสู่ระดับ 8.6% ในครึ่งแรกของปีนี้ จากระดับ 9% ในปี 2552 ส่วนสหภาพยุโรปลดลงเหลือ 10.7% จาก 11.4%
"อินโดนีเซียมีตลาดส่งออกที่หลากหลาย โดยเฉพาะตลาดส่งออกในเอเชียที่เป็นประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ซึ่งคาดว่าจะสามารถกระตุ้นการขยายตัวของสินค้าส่งออกนอกกลุ่มน้ำมันและก๊าซได้ในอนาคต" เขากล่าว พร้อมกับคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกอาจขยายตัวได้แต่จะเป็นไปในอัตราที่ช้าลงที่ระดับ 4.3% จากปัจจัยหนุนของการขยายตัวที่แข็งแกร่งในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่
สำนักงานสถิติแห่งชาติเผยว่า ยอดส่งออกของอินโดนีเซียในเดือนมิ.ย.ขยายตัวแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 49.35% แตะ 1.841 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบเป็นรายปี
ด้านนายฮัตตา ราจาซา รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจอินโดนีเซียเผยว่า รัฐบาลตั้งเป้ากระตุ้นยอดส่งออกเพิ่มขึ้น 12% ในปีนี้แตะที่ 1.68 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ สินค้าส่งออกส่วนใหญ่ของอินโดนีเซียประกอบด้วยสินค้าในกลุ่มทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 32% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี)