นายไซมอน หว่อง รองประธานและนักวิเคราะห์อาวุโสจากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดี้ส์ กล่าวว่า อุตสาหกรรมเหมืองถ่านหินของอินโดนีเซียมีแนวโน้มที่จะขยายตัว ถึงแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอน
นายหว่องระบุว่า แผนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าทั่วทั้งภูมิภาค, ความสัมพันธ์ในด้านพลังงานของอินโดนีเซียกับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก, สภาพคล่องที่แข็งแกร่ง และภาวะหนี้สินที่ดีขึ้น จะเป็นปัจจัยหนุนต่อการขยายตัวของอุตสาหกรรมภายในประเทศ
ทั้งนี้ บริษัทสาธารณูปโภคในอินโดนีเซีย จีน และอินเดีย กำลังก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น เพื่อให้ทันกับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของภูมิภาค ซึ่งจะส่งผลให้ราคาถ่านหินยังคงอยู่ในระดับสูง
"บริษัทเหมืองถ่านหินของอินโดนีเซียได้เร่งใช้กลยุทธ์ในแนวตั้ง โดยมีจุดประสงค์เพื่อควบคุมการดำเนินงานตั้งแต่เหมืองไปจนถึงท่าเรือ, การดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการควบคุมต้นทุน" นายหว่องกล่าวบริษัทเหมืองถ่านหินกำลังทำการสำรวจเพื่อหาแหล่งเหมืองใหม่ๆ ในขณะเดียวกันก็ได้เพิ่มกำลังการผลิตของเหมืองในปัจจุบัน
นายหว่องระบุว่า จุดแข็งเหล่านี้ได้บดบังความเสี่ยงที่อาจจะเกิดจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตาม นายหว่องกล่าวเสริมว่า ยังคงมีความเสี่ยงในการลงทุนในเหมืองถ่านหินอินโดนีเซีย เนื่องจากปัจจัยทางด้านภูมิศาสตร์, คุณภาพผลิตภัณฑ์ที่ไม่แน่นอน และการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับเหมืองแร่
ด้านนายบ๊อบ คามานดานู นายกสมาคมเหมืองถ่านหินของอินโดนีเซีย กล่าวว่า การผลิตถ่านหินจะยังคงมีเสถียรภาพในปีหน้า แต่เขาคาดว่าราคาอาจจะลดลงเล็กน้อย
นอกจากนี้ นายคามานดานูคาดว่า ราคาถ่านหินจะอยู่ที่ระหว่าง 100-110 ดอลลาร์ต่อตันในปีหน้า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของราคาในปีนี้ที่ 110-120 ดอลลาร์ต่อตัน โดยสมาคมยังคงคาดการณ์เป้าหมายผลผลิตของอินโดนีเซียเอาไว้ที่ 380 ล้านตัน ซึ่งสูงกว่าจำนวน 360 ล้านตันสำหรับปีนี้ สำนักข่าวซินหัวรายงาน